การมาเที่ยวญี่ปุ่นทริปนี้ Knot อยากไปนั่งรถไฟสาย Romantic ที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเลย ครั้งนี้เราไม่ได้ซื้อ JR Pass มาเพราะมาแค่ 5 วัน คงไม่ได้ไปไหนมากมาย ไม่น่าจะคุ้มค่ะ พอเครื่องลงเราก็เลยต้องไปแวะสอบถามทางที่ Tourist Information หรือ เครื่องหมายตัว i กันก่อน ด้วยความไม่ได้อ่านอะไร เห็นเคาเตอร์ว่าง knot ก็เดินไปถามคุณป้าว่าอยากได้ตั๋วรถไฟสาย Romantic เพราะทราบมาว่าถ้าไม่จองอาจไม่ได้แม้กระทั่งตั๋วยืน คุณป้าน่ารักมากค่ะ ให้คำปรึกษา จองตั๋วรถไฟ ตั้งแต่รถไฟเข้าเมืองไปจนถึง JR West Pass แบบ 3 วัน (นั่งระหว่าง Osaka-Kyoto-Nara 3 วันแบบ Unlimited) เดี๋ยววันหลัง Knot จะมาอธิบายเรื่อง JR Pass ให้ทราบกันค่ะ คุณป้าแนะนำให้เราซื้อตั๋ว Subway แบบต่างๆ เพื่อประหยัดที่สุดด้วยค่ะ

เช้านี้หลังอิ่มอร่อยจากร้าน คุณลุง Key Coffee @ Shinsaibashi เราก็ออกเดินทางโดยใช้ Subway จากสถานนี Shinsaibashi ไปยังสถานี Namba เพื่อนั่งรถไฟ JR Yamatoji ไป Kyoto แล้วเปลี่ยนรถไฟอีกรอบที่เกียวโตเพื่อไปยัง JR Saga Arashiyama Station ซึ่งเป็นสามารถเดินไปยังสถานี Saga Torokko Station ได้ค่ะ แต่ Knot ทำตามคำแนะนำของคุณป้า คือ เราจะนั่งรถไฟ JR ไปยังสถานี JR Umahori Station แล้วไปขึ้น Saga Romantic Train ที่สถานี Kameoka Torokko Station นั่งย้อนกลับมาลงที่ Arashiyama Torokko Station เพื่อลงเดินเที่ยว แล้วค่อยไปยัง JR Saga Arashiyama ค่ะ

ซื้อตั๋ว Osaka Subway
รอขึ้นรถไฟ

เนื่องจากเราถือ JR West Pass แต่เราไม่ได้จองที่นั่ง ก็ต้องขึ้นตู้ Non-Reservation กันไปค่ะ เต็มก็หาที่ยืนเอาค่ะ นั่งรถไฟจาก โอซาก้าไปเกียวโต ไม่นานค่ะ ประมาณ 15-40 นาทีขึ้นอยู่กับเราใช้รถไฟแบบไหน ทริปนี้ Knot ไม่ได้ขึ้น Shinkansen เลยนะคะ เพราะว่า Regional Train รวมๆ แล้วทำเวลาได้ดีกว่าค่ะ

เที่ยวก็ยังทำงาน ตอบ Chat ลูกค้าไปด้วยค่ะ

สำคัญมากๆ คือแผนที่และตารางรถไฟค่ะ ควรถือไปด้วยเพราะเราจะใช้นับสถานีได้ค่ะ ว่าจะลงที่ไหน ในกรณีที่เราอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ และรถไฟเที่ยวนั้นไม่มีการพูดเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ทริปนี้เรานั่งรถไฟ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนถึง JR Saga Arashiyama Station จริงๆ ตามหลักการแล้วรถไฟขบวนนี้ควรไปถึงสถานีที่เราต้องการจะลง คือ JR Umahori Station เลย แต่ก็ Terminate ก่อนแล้วมีการประกาศอะไรสักอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นที่เราไม่ทันฟัง เพราะคุยกันเพลิน รถไฟก็จอดสนิท อยู่กับที่นานมาก จน Knot เอะใจ กลัวไปไม่ทันรถไฟที่เราจองไว้ ก็เลยลุกขึ้นไปดู ทั้งขบวนเหลือคนไทยอยู่ 4 คน คือ Knot กับ คุณ Juth และอีกสองคนที่ไม่ได้มาด้วยกัน Knot ก็เลยชวนคุณ Juth ลง เพราะได้ยินประกาศว่า รถไฟขบวนนี้ จะกลับไป Kyoto ค่ะ โอ้มายก็อด ถ้าไม่เอะใจนี่คงได้นั่งย้อนกลับไป แล้วพลาด Romatic train แน่ๆ แต่เราก็ลงจากรถไฟไปเปลี่ยนอีกขบวน น้องคนไทยสองคนก็ตามเราไปด้วยจนถึงสถานี Kameoka Torokko Station แต่น้องเค้าไม่ได้จองตั๋วมา และดูเหมือนว่าขบวนของเราจะเต็มเลยแยกย้ายกันไปค่ะ

แวะซื้อมันเผาค่ะ น่ารักที่มีภาษาไทยด้วย

เมื่อเรานั่งรถไฟ JR มาถึงสถานี JR Umahori Station เราก็เดินตามป้ายไปยังสถานี Kameoka Torokko Station เดินประมาณ 800 เมตรค่ะ ผ่านทุ่งหญ้าเขียวๆ ได้เห็นทิวทัศน์ชนบทญี่ปุ่นสวยงามค่ะ ใกล้สถานีก็มีมันเผา ข้าวโพดต้มขายค่ะ พ่อค้าทักทายเป็นภาษาไทยด้วยค่ะ ถึงตอนนี้ก็เที่ยงแล้วนะคะ เราวางแผนกันว่าจะไปกินอาหารกลางวันกันหลังจากนั่งรถไฟแล้วเพราะรถไฟใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ ก็เลยรองท้องกันด้วยมันเผา และน้ำชาร้อนกดจากตู้ที่สถานีค่ะ

ด้านข้างรถมีหลายภาษามาก
ได้มาแล้วมันเผา 1 หัว 200 เยน
กินจนขึ้นรถไฟ
หัวรถไฟ Sagano Romantic Train
รถไฟโบราณนิดนึงค่ะ
คนแน่มาก ที่นั่งเป็นไม้ทั้งหมด ยืนได้เฉพาะบริเวณประตู
Sagano Romantic Train
@Togetsukyo Bridge
หน้าศาลเจ้า Nonomiya Jinja Shrine
ศึกษาประวัติกันนิดนึง
Nonomiya
เครื่องราง
ป้ายขอพร
ก่อนไหว้พระต้องทำความสะอาดกันก่อน
หนาวมากแต่ก็ต้องทำความสะอาด
เดินเรื่อยเปื่อย
คิวไหว้พระขอพร
คิวยาวมาก

เราลงจากรถไฟที่ Arashiyama Torokko Station เพื่อไปเที่ยว Bamboo Forest สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเมื่อมาแถวนี้ค่ะ นักท่องเที่ยวเยอะมากค่ะ คนส่วนมากจะลงรถไฟที่นี่ หรือไม่ก็มาขึ้นรถไฟที่สถานีนี้ค่ะ เราเลือกเดินย้อนกลับคนก็จะไม่เยอะมากค่ะ ช่วงที่ไปเป็นช่วงวันหยุดยาวของคนไทยก็จะเจอคนไทยพอสมควรค่ะ ไม่เยอะมาก

Bamboo Forest

เส้นทางเดินจาก Arashiyama Torokko Station กลับไปยัง Saga Torokko Sation มีศาลเจ้า 5 แห่งให้แวะเที่ยวได้ค่ะ สามารถเลือกตามระยะทางเดินได้ค่ะ เค้ามีป้ายติดไว้ที่ตรงทางเดินจากสถานีค่ะ สถานีนี้สามารถเดินไปเที่ยวสะพาน Togetsukyo วัด Tenryu-ji หรือวัดเงิน กระท่อม Rakushisha Poet’s ศาลเจ้า Nonomiya วิลล่า Okochi Sanso และวัด Adashino Nenbutsu-ji ได้ค่ะ แต่เราเลือกที่จะเดินตามเส้นทางไปผ่าน Bamboo Forest ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งผ่านสะพาน Togetsukyo, Bamboo Forest, วิลล่า Okochi Sanso และ ศาลเจ้า Nonomiya ก่อนที่จะออกไปถึง Saga Torokko Station ค่ะ เดินไปก็ถ่ายรูปไปค่ะ ทริปนี้รูปสวยๆ เยอะมากค่ะ มีไลฟ์บนเฟซบุ๊คให้เพื่อนๆ ได้ดูกันด้วยค่ะ ถ้าสนใจตามไปชมคลิปได้ค่ะ

หน้าร้านอาหาร Ozuru

พอเราเดินเลยสถานีออกมาก็จะมีร้านอาหารให้เราได้เลือกรับประทานกันค่ะ มีร้านอาหาร ร้านราเมง ส่วนใหญ่เป็นจะเป็นเมนูเนื้อวัวค่ะ แต่ Knot ไม่ทานเนื้อวัว ก็เลยทานราเม็งกันค่ะ ที่ร้าน Ozuru รสชาติก็อร่อยดี ในราคาประมาณ 1000 เยนต่อเซ็ต ชามใหญ่มากมาย

ป้ายในร้าน อุตส่าห์มีภาษาอังกฤษไว้นิดนึง
ราเม็งมิโซะหมู
ราเม็งเทมปุระไก่
หาทางไปสถานี JR Saga Arashiyama
เดินข้ามสะพานลอย
สถานี Saga Torokko Station

มาเกียวโต (ต้อง) ห้ามพลาด

จริงๆ วันนี้เราวางแผนกันว่า พอนั่งรถไฟ Sagano Romantic Train แล้วเราจะไปเที่ยวเกียวโตกันต่อ ไปวัด Kiyomizu-dera หรือวัดน้ำใส ไปวัด Kinkaku-ji หรือวัดทอง เนื่องจากเดินถ่ายรูปกันเพลินไป กินข้าวกันอีกก็พักใหญ่ กว่าจะมาถึงเกียวโตก็ประมาณ 5 โมงเย็น ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่ Knot ก็ยืนยันกับคุณ Juth ว่ามาแล้วพลาดไม่ได้ ต้องไปวัด Kiyomizu-dera ให้ได้ ถามว่าไปทำไม ตอบง่ายๆ ค่ะ ว่าไปกิน Cream Puff แสนอร่อย Yatsu Hashi Chou นั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟแล้วเดินขึ้นไปเกือบครี่งชั่วโมง เดินไปก็มองหาร้านไปเพราะจำไม่ได้ว่าร้านอยู่ตรงไหนของถนนคนเดินขึ้นวัด ในที่สุดก็เจอ เกือบสุดทางค่ะ

ชูครีมที่ต้องห้ามพลาด

มาครั้งนี้ร้านตกแต่งโมเดิร์นมาก มีที่ให้นั่งทานในร้าน ตอนซื้อพนักงานบอกเลยว่า กรุณาทานในร้านเท่านั้น เพราะจะได้ไม่ทิ้งขยะเลอะเทอะ ขาเขียวแบบ Cold press อร่อยไปอีกแบบค่ะ ทางร้านมีชูครีม 2 รสให้เราเลือกค่ะ รสวนิลาและรสขาเขียว แล้วแต่คนชอบนะคะ Knot ชอบชาเขียว คุณ Juth ชอบวนิลา ก็เลยซื้ออย่างละอันมาแบ่งกันทานค่ะ แป้งเค้าไม่เละ ไส้ไม่หวานมากสำหรับวนิลา ส่วนชาเขียวมีความขมและหอมของชาติดลิ้นกันเลยค่ะ แต่ก่อนร้านนี้เป็นแค่เค้าเตอร์ขายร่วมกับของฝาก และไอศกรีมแบบ Soft cream ค่ะ ตอนนี้ร้านสวยงามและเน้นขายชูครีมเลยค่ะ ถ้ามีโอกาสมาเที่ยววัดน้ำใส แนะนำว่าไม่ควรพลาดชิมขนมร้านนี้ค่ะ

เรากินกันคนละ 1 อัน 2 รส
ชาเขียวกับวนิลา
Video

Kiyomizu Dog

กินชูครีมเป้าหมายเสร็จ เราก็เดินต่อขึ้นไปถึงวัด แต่ด้วยความมืดจึงตัดสินใจไหว้กันตรงนั้นแล้วเดินลงค่ะ ลงมาเกือบถึงปลายทาง จะเห็นร้านกาแฟมีฮ็อตด็อกขายค่ะ จริงๆ แล้วเค้าเรียกว่า Kiyomizu Dog ไม่ใช่ Hotdog ปกตินะคะ เพราะเค้าจะเอาขนมปังบาเก็ต (ขนมปังฝรั่งเศส) อันยาวประมาณ 6″ เจาะรูตรงกลางแล้วใส่ไส้กรอกลงไปพร้อมซอสของเค้าค่ะ มีมัสตาร์ดกับซอสมะเขือเทศด้วยค่ะ เราสองคนอิ่มจากชูครีมแต่ก็อยากกิน เลยซื้อ 1 อันกินกันสองคนค่ะ ไม่ผิดหวังเลยค่ะ อร่อยมากมาย ราคาไม่แพงค่ะ

ซื้อผ่านหน้าร้าน

ซื้อเสร็จ เราก็นั่งกินที่ด้านหน้าร้านที่มีเก้าอี้วางไว้ให้นั่งค่ะ กินเสร็จก็คุณเจ้าของร้านก็เดินออกมารับกระดาษห่อไปทิ้ง น่ารักมากค่ะ

สถานีเกียวโต
ต้นคริสต์มาส

เรานั่งรถเมล์กลับจากวัดมายัง Kyoto Station ไม่ไกลค่ะ ประมาณ 10 นาที แล้วนั่งรถไฟกลับ Osaka ไปลงที่ Namba เปลี่ยนเป็น Subway ไป Shinsaibashi Station ก่อนเข้าที่พัก เราก็แวะกินมื้อเย็นจริงจังกันก่อนเข้านอนค่ะ เป็น Pannini ที่ Starbucks ขอบอกว่า Starbucks มื้อนี้เราเหมือนไม่รู้จะกินอะไรดี อันนี้แล้วกันเพราะดึกแล้วร้านส่วนใหญ่ปิดแล้ว และเราก็ไม่อยากกินเยอะ กินกัน 2 คนนะคะ

มื้อค่ำ @Starbucks

วันนี้เป็นวันแห่งบาเก็ตเพราะเรากินบบาเก็ตเยอะมาก คนคันไซน่าจะชอบขนมปังสไตล์ฝรั่งเศส ข้างนอกกรอบข้างในนุ่ม อร่อยมากค่ะ บอกเลยว่า ร้านเบเกอรี่ชื่อดังบ้านเราหลายร้านสู่ Kiyomizu Dog ไม่ได้เลยค่ะ

Knot ก็ขอจบโพสต์นี้ไว้เท่านี้ก่อนนะคะ โพสต์ต่อไปเราจะไปเลี้ยงอาหารกวางที่นารากันค่ะ ตามในคุณ Juth บ้างเค้าอยากไปเลี้ยงกวาง ถ้าชอบไม่ชอบยังไงฝากความเห็นไว้ได้นะคะ หรืออยากให้ Knot พาไปเที่ยวที่ไหนแนะนำได้นะคะ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดติดดาว ที่ Facebook: Trips in My Memory และ Instagram @tripsinmymemory กันไว้นะคะ จะได้เห็นโพสต์ใหม่ๆ กันค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันนะคะ