จาก Bicester ขับรถขึ้นเหนือมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็จะถึง Warwick Castle ซึ่งเป็นปราสาทในยุคกลาง หรือยุค Medeval ซึ่งสร้างโดย William the Conqueror ในปี 1068 แต่เดิมเป็นป้อมไม้ (Wooden Fort) ต่อมาในศตวรรษที่ 12 ปราสาทนี้ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหิน ในปี 2001 การท่องเที่ยวแห่งบริเทน (British Tourist Authority) ได้จัดให้ Warwick Castle เป็น “Top 10 historic houses and monuments” ซึ่งสถานที่ที่ติดอันดับครั้งนี้ด้วย ได้แก่ Tower of London, Stonehenge และ Edinburgh Castle ไว้วันหลัง Knot จะพาไปเที่ยวสถานที่อื่นๆ กันนะคะ
เมื่อขับรถมาถึงเราก็จอดรถที่ที่จอดรถด้านข้างปราสาท ซึ่งคนจะน้อยกว่าไปจอดด้านหน้า เรามาถึงประมาณ 10 โมง คนยังไม่เยอะมากค่ะ ช่วงที่เรามาเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน เราก็จะเห็นชาวอังกฤษพาครอบครัวมาพักผ่อนกันที่นี่เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศตนเองด้วยค่ะ จอดรถเรียบร้อยก็ต้องหยอดเหรียญจ่ายค่าที่จอดรถไว้ ตามจำนวนชั่วโมงที่เราคิดว่าจะเที่ยวที่นี่นะคะ ครั้งนี้เพื่อความไม่ประมาท เราจ่ายไว้ 3 ชม ค่ะ เพราะเย็นนี้ เราจะเข้าไปคืนรถและไปพักที่ลอนดอนกันค่ะ
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ Knot มา Warwick Castle นะคะ ครั้งแรกมาทัศนศึกษาตอนเรียนที่บาธค่ะ กลับมาครั้งนี้เห็นความแตกต่างไปเยอะมากค่ะ ที่นี่จัดให้มีกิจกรรม และการแสดงมากมายสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ค่ะ มีส่วนที่เป็น The Castle Dongeon เพิ่มขึ้นมาด้วยค่ะ ซึ่งขายบัตรแยกต่างหาก แต่ Knot ขอตัวไม่เข้าส่วนนี้นะคะ กลัวผี เราไปซื้อบัตรราคาผู้ใหญ่กันค่ะ หากเราจองผ่าน Online มา ก็จะได้ราคาที่ถูกลง แต่ต้องกำหนดวันและเวลาที่จะมาให้ชัดเจนค่ะ บัตรเข้าชมที่นี่มีราคาสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงวัยค่ะ ผู้ใหญ่จะแพงสุดอยู่ที่ 28 ปอนด์ต่อคน และมีบัตรสำหรับครอบครัวด้วยค่ะ ผู้ใหญ่สองเด็กสอง ไม่เกินนี้ จะจ่ายในราคาผู้ใหญ่ 2 คนค่ะ นอกจากนี้ หากชอบมากหรืออยู่แถวนี้ ก็จะซื้อตั๋วปีกันค่ะ เป็น Annual Pass ที่ใช้เข้าเมื่อไหร่ ก็ได้ กี่ครั้งก็ได้ในหนึ่งปี และได้รับส่วนลดพิเศษในการซื้อสินค้าและอาหารจากทุกร้านด้วยค่ะ สามารถดูรายละเอียดและซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าได้ที่ www.warwickcastlebreaks.com
จากรูปตารางการแสดงที่จะมีให้ชมตลอดวันค่ะ Knot และคุณ Juth เลือกชม Flight of Eagles อย่างเดียวค่ะ เนื่องจากเรามีเวลาน้อยค่ะ รอบที่เราดูคือ 11.30 น ก่อนการแสดงเราก็ไปชมด้านในของปราสาทค่ะ คนเยอะมาก ภายในตัวปราสาทจะมีภาพวาดและของสะสมของท่าน Earl of Warwick ซึ่งเป็นขุนนางตระกูลใหญ่ และยังมีความเกี่ยวข้องกับตระกูล Spencer ของเจ้าหญิงไดอาน่าด้วยค่ะ
บัตรที่เราซื้อมาเป็นบัตรแบบ One Day ไม่รวม The Castle Dungeon ซึ่งทำให้เราสามารถเดินชมพื้นที่ภายในและด้านนอกของปราสาทรวมถึงการแสดงต่างๆ ได้ด้วยค่ะ Knot แนะนำว่า Warwick Castle เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการเที่ยวสำหรับครอบครัวค่ะ มีเรื่องราวให้เด็กๆ เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เวทมนตร์ และการผจญภัยต่างๆ มากมาย ที่สำคัญควรมีเวลาอย่างน้อย 1 วันเต็มๆ ค่ะ โดยเฉพาะหากชอบผจญภัยกับการปีนหอคอย สูงประมาณตึก 4 ชั้นค่ะ เดือนขึ้นและลง ขึ้นไปจะมองเห็นวิวอันสวยงามของเมือง Warwick และบ้านริมแม่น้ำ Avon สวยงามมากค่ะ แต่ครั้งนี้เราไม่มีเวลามากนัก เลยไม่ได้ขึ้นไปค่ะ
เมื่อเดินเข้าไปด้านในปราสาท ก็จะเห็นสนามหญ้าที่มีผู้คนนั่งเล่นอยู่มากมาย อากาศช่วงปลายฤดูร้อนจะไม่ร้อนมาก และวันนี้อากาศดีมากค่ะ ฟ้าใส เหมาะกับการอาบแดด อย่างแรกที่เราทำก็คือ เดินเข้าร้านขายของที่ระลึก ที่หน้าร้านเราได้เห็นเครื่องหมุนเหรียญ ซึ่งต้องใส่เหรียญเพนนีเข้าไปพร้อมกับค่าทำ 1 ปอนด์ เหรียญเพนนีที่เราให้เข้าไปนั้น ก็จะถูกหมุน กดทับ ออกมาเป็นรูปที่เราเลือกค่ะ
The Great Hall and State Rooms
ก่อนไปดูการแสดง เรามีเวลาเดินเข้าไปชมภายในปราสาทกันก่อนค่ะ ส่วนแรกที่เราเลือกเข้าไปชมก็คือ The Great Hall and State Rooms ซึ่งเป็นห้องโถง ห้องพัก และห้องรับรองที่ใช้รับแขกของเจ้าของปราสาทค่ะ เต็มไปด้วยชุดอัศวินและรูปวาดมากมายจากยุคกลางซึ่งเป็นของสะสมของ Earl of Warwick ค่ะ
ภายใน The Great Hall และ State Rooms จะมีการนำเอาของสะสมของเจ้าของปราสาทในยุคต่างๆ มาจัดแสดงไว้ ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกเล่าเรื่องราวของอัศวิน การแต่งกายของ Royal Family รวมไปถึงการใช้ชีวิตของคนชั้นสูงในยุคนั้นด้วยค่ะ
นอกจากอาวุธ และเครื่องแต่งกายของอัศวินในยุคกลางแล้ว ในปราสาทจะมี Chaple หรือถ้าเทียบกับบ้านเราก็คงจะเป็นห้องพระประจำปราสาท ที่ซึ่งท่าน Earl และครอบครัวใช้ในการสวดภาวนาขอพรจากพระเจ้าค่ะ การตกแต่งของ Chaple ก็จะมีกระจกสีสวยงามบอกเล่าเรื่องราวจากพระคัมภีร์ไบเบิล
Royal Weekends Party
เดินไปเรื่อยๆ เราจะได้ชมกับการจัดงานเลี้ยงรับรองของ Frances Countess of Warwick หรือ Daisy ซึ่งเป็นการจัดงานเลี้ยงของชนชั้นสูงสมัยพระราชินีวิคตอเรีย ซึ่งมีผู้ร่วมงานเลี้ยงนี้เป็นคนดังมากมาย ที่สำคัญคือ Prince of Wales ซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ในนาม King Edward ที่ 7 ห้องที่ใช้จัดแสดงมีทั้งหมด 12 ห้อง ซึ่งมีหุ่นจำลองของทั้งเจ้าภาพและแขกคนดังในอิริยาบถต่าง ๆ พร้อมกับการตกแต่งของเฟอร์นิเจอร์ของแท้ เราได้เห็นตั้งแต่ Daisy ในชุดออกงานใหม่ ไปจนถึงภาพของท่านเซอร์ Winston Churchill สมัยเด็กอ่านหนังสือในห้องสมุด ซึ่งเป็นการบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์อังกฤษในยุควิคตอเรียได้เป็นอย่างดี
The Show – Flight of Eagles
ออกจาก The Great Hall เราก็มาดูการแสดงกันค่ะ เรามาช้ากว่าเวลาเริ่มการแสดงเล็กน้อย จะเห็นได้ว่าเด็กๆ มุงกันเต็มไปหมดค่ะ เป็นการแสดงการฝึกสอนนกอินทรีพันธุ์ต่างๆ ที่เลี้ยงไว้ที่ปราสาทแห่งนี้ค่ะ ใกล้เที่ยงแล้ว Knot เริ่มหิว เห็นเด็กๆ ต่อคิวซื้อน้ำและขนมมานั่งกินไปดูนกอินทรีไป เราก็อยากบ้างค่ะ Knot และคุณ Juth เดินไปต่อคิวซื้อโดนัทและน้ำกันค่ะ
ร้านขายอาหารซึ่งจะเป็นขนมอบ Pastry และเครื่องดื่มที่เด็กๆ ที่นี่ชอบกินกันค่ะ ไม่พ้นโดนัท และน้ำหวานสารพัดสี Knot ได้โดนัท กาแฟ และโค้กมาทานรองท้องค่ะ ราคาไม่แพงมากไม่เหมือนไปเที่ยวสวนสนุกบ้านเราที่ราคาจะต่างจากข้างนอกเยอะ ที่นี่ส่วนใหญ่คนมาเที่ยวจะทำ Lunch Box มาเองค่ะ อาจจะซื้อน้ำหรือขนมสำหรับเด็กๆ เพิ่มเท่านั้น ก็จะไม่มีของขายมากมายนัก
ได้ของกินแล้ว เราก็หาที่นั่งชมการแสดงกันค่ะ นกอินทรีที่เค้านำมาแสดงมีทั้งหมด 4 ตัว เราถ่ายรูปมาได้ 3 ตัวค่ะ เพราะเรามาช้า เลยไม่ได้ดูการแสดงของตัวแรกค่ะ แต่ละตัวมีสายพันธุ์ต่างกัน คุณลุงคนฝึกจะบอกเล่าตั้งแต่ว่าสายพันธุ์นั้นๆ ชอบกินอะไร บินได้ไกลแค่ไหน สั่งให้บินให้ชม ไปเกาะบนหอคอยบ้าง บินต่ำบ้าง เล่นกับคนดูบ้าง ได้ความรู้เกี่ยวกับนกอินทรีมากมายค่ะ การแสดงใช้เวลาประมาณ 45 นาทีค่ะ
The Kingmaker
หลังจบการแสดง Knot และคุณ Juth ดูเวลาแล้วเรายังพอมีเวลาเหลือ ก็เลยจะเดินไปดูการแสดงอื่นๆ ต่อ ปรากฎว่าเราไม่สามารถเข้า The Princess Tower ได้เพราะเต็มค่ะ เค้าจำกัดจำนวนคน รอบต่อไปคือ 13.00 น เวลาเราไม่พอ เราก็เลยลองไปดูที่ The Kingmaker ซึ่งจะบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเตรียมการรบของ Earl of Warwick ซึ่งช่วยรักษาราชวงศ์ของอังกฤษไว้
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1471 ซึ่ง Richard Neville ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม Warwick the Kingmaker กำลังเตรียมกองทัพเพื่อสู้สงคราม นิทรรศการนี้จะพาทุกท่านไปเรียนรู้การเตรียมความพร้อมของ Richard ได้เห็น ได้ยิน และได้กลิ่นที่เกิดขึ้นจริงๆ ในยุคกลางของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ทำให้อังกฤษสงบสุข เจริญก้าวหน้า จนถึงทุกวันนี้
วันที่ 2 มีนาคม 1450 พระเจ้า Henry ที่ 6 ได้พระราชทานตำแหน่ง Earl of Warwick ให้กับ Richard Neville ซึ่งเป็นสามีของ Anne de Beauchamp ในช่วง Civil War สายสัมพันธ์ของครอบครัวของ Neville ทำให้เค้าเป็นคนเมืองยอร์ก (Yorkist) เขาเป็นทหารที่เก่งกาจในการรบที่ Battle of St Albans ในปี 1455 ซึ่งทำให้เขาสามารถโค่นล้มพระเจ้า Henry และทำให้พระเจ้า Edward, Duke of York ขึ้นครองราชย์แทน ซึ่งทำให้ Warwick อำนาจมากมาย นิทรรศการนี้ ได้บอกเล่าการเตรียมทหาร อาหาร อาวุธต่างๆ ในส่วนของใต้ดินของปราสาท
เมื่อจบนิทรรศการ ก็จะไปถึงห้องขายของที่ระลึกเกี่ยวกับ The Kingmaker ในนี้เราจะเห็นหนังสือชื่อดังหลายเรื่อง โดยเฉพาะ Warwick The Kingmaker และ The Secret Queen ซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับชนชั้นสูงในยุคกลางเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
เราใช้เวลาอยู่ใน Warwick Castle จนเที่ยงกว่า เราก็คิดว่าพอแล้ว ออกเดินทางไปที่อื่นต่อกันดีกว่า ก่อนกลับก็แวะร้านขายของที่ระลึกหน้าทางออก ไปเห็นนกฮูกสายพันธุ์แปลกๆ ที่ติดป้ายไว้ว่า Wild Republic ซึ่งคือชื่อสายพันธุ์ของน้องนะคะ เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะพาน้องกลับมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนของที่เราก่อตั้งขึ้น A Cuppa Academy ซึ่งเป็นเราตั้งใจว่าจะแบ่งปันเรื่องราวที่เราเชี่ยวชาญให้กับผู้ที่สนใจโดยเฉพาะด้าน Digital ทั้งด้านการตลาด และการออกแบบแอพพลิเคชันต่างๆ
โพสต์นี้ Knot ขอจบไว้ที่ตอนเราออกจาก Warwick Castle นะคะ จากนี้เราจะขับรถและแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ จนเข้า London เพื่อไปคืนรถที่สนามบิน Heathrow กันค่ะ แล้วหลังจากนี้ ก็จะเป็นเวลาของการตะลุยลอนดอนกัน
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ หากชอบกรุณากดไลค์ กดแชร์ กดติดดาวกันได้ที่ Facebook fanpage และ Instagram @Tripsinmymemory หรือคอมเม้นต์กันได้ที่ www.tripsinmymemory.com โพสต์ต่อไป Knot จะพาไปไหนต่อ อย่าลืมติดตามกันนะคะ