วันนี้เราจะเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อไปเที่ยว Nikko World Heritage Site กันค่ะ Nikko หรือ นิกโก้ ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดย UNESCO นิกโก้เป็นหนึ่งในเมืองที่ Knot ชอบมาก เดินเที่ยวได้สะดวก ผู้คนน่ารัก คุณป้าคุณลุงเจ้าของร้านแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ก็เต็มใจให้บริการและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวมากมาย Knot รู้จัก Nikko ครั้งแรกจากงานแปลที่ได้รับจากเอเจนซี่ที่อังกฤษค่ะ เค้าจ้างให้แปลบทความและเนื้อหาที่ใช้ในการโฆษณาเมือง รวมถึงสวนสนุกธีมนินจา หรือ Edo Wonderland Nikko Edomura ด้วยค่ะ
ตอนนั้นเค้ากำลังจะเปิดตัวเลยค่ะ ตอนนี้กลายเป็นของเก่าไปแล้ว เอกสารแนะนำการท่องเที่ยวของเมืองนิกโก้ฉบับภาษาไทย ก็เป็นหนึ่งในผลงานการแปลของ Knot ถือเป็นหนึ่งในความภูมิใจเวลาที่ได้ไปเที่ยวและเห็นผลงานของตัวเองอยู่ที่สถานีรถไฟ และ Tourist Information Center ไม่ใช่ที่นิกโก้เท่านั้นนะคะ แต่ยังรวมไปถึงที่สถานีอื่น ๆ โดยรอบด้วยค่ะ มีสะกดผิดบ้างด้วยค่ะ ตอนไปรับใบปลิวมาอ่านครั้งแรก อ่านไปขำไปอยากไปขอโทษเค้ามากมายที่มีสะกดผิด บางประโยคไม่เข้ากับการใช้งานที่นำไปใช้ก็มีค่ะ เนื่องจากตอนรับงาน Knot ได้มาแต่บทความฉบับภาษาอังกฤษ ไม่รู้เลยว่าเค้าจะเอาไปทำอะไร ป่ะเราไปเที่ยวกันดีกว่าค่ะ
การเดินทางจาก Sendai ไป Nikko
แม้ว่าวันนี้เราจะเดินทางไกลกว่าทุกวันเราก็ยังเลือกที่จะออกเดินทางสายเหมือนเดิมค่ะ ข้ออ้างคือเราหนีช่วงเวลา Peak time ของรถไฟค่ะ วันนี้เราใช้ JR East Pass ขึ้นรถไฟ Shinkansen สาย Yamabiko เที่ยว 9.41 น. ไปลงที่สถานี Utsunomiya ก่อนที่จะเปลี่ยนรถไฟไปนั่ง Nikko Line ไปยัง JR Nikko Station ค่ะ ระยะเวลาในการเดินทางจาก JR Sendai Station ไปยัง JR Nikko Station คือ ประมาณ 3 ชั่วโมง 25 นาทีค่ะ ดังนั้นก่อนขึ้นรถไฟ เราก็ซื้อเบนโตะและชาเขียวมาเผื่อไว้เป็นมื้อสายของเราค่ะ อาจจะเรียกว่า Brunch ก็ได้ค่ะ
ตั๋วรถไฟในภาพไม่ใช่ตั๋วรถไฟนะคะ เป็นแค่ใบจองที่นั่ง หรือ Reserved Seat Ticket ที่คุณป้าที่ Tourist Information Center พิมพ์ออกมาให้เราพร้อมกับสลิปสีขาวด้านหลังที่จะบอกเราว่าต้องนั่งรถไฟขบวนไหน ไปกี่สถานี ลงที่ไหน ถึงเวลาเท่าไหร่ และเปลี่ยนขบวนรถที่ไหนบ้าง ขบวนต่อไปเวลาเท่าไหร่ และไปอีกกี่สถานี ลงที่ไหน ใช้เวลาทั้งหมดเท่าไหร่ค่ะ สังเกตดีๆ นะคะ ว่าทุกอย่างเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่มีภาษาอังกฤษเป็นชื่อสถานีและตัวเลขให้เราพออ่านเข้าใจได้ค่ะ
ขึ้นรถได้ไม่นานเราสองคนก็เปิดข้าวกล่องทานกันค่ะ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังค่ะ บน Shinkansen เราสามารถทานอาหาร ขนม และเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้ค่ะ แต่ตอนลงควรเก็บขยะไปทิ้งให้เรียบร้อยนะคะ ถังขยะมีอยู่ที่หน้าประตูทางขึ้นลงค่ะ แต่ถ้าขยะเรามีขนาดใหญ่ก็ควรใส่ถุงแล้วนำลงไปทิ้งที่สถานีรถไฟด้านล่างค่ะ นั่งรถไฟชินคันเซ็นประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงสถานี JR Utsunomiya ค่ะ เราจะเปลี่ยนรถไฟที่สถานีนี้ เพื่อไปนังรถไฟสาย JR Nikko Line ไปลงที่สถานี JR Nikko Station ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งค่ะ ระยะทางไม่ยาวแต่นานเพราะเป็นสายรถไฟ Local ค่ะ หาแพลทฟอร์มขึ้น JR Nikko Line ไม่ยากค่ะ มองที่พื้นตอนเดินออกจากโซนของ Shinkansen มองหาเส้นสีน้ำตาลค่ะ จะเขียนว่า JR Nikko Line เดินตามไปได้เลยค่ะ
JR Nikko Line at Utsunomiya Station
เมื่อเดินลงมาถึงแพลทฟอร์มเหมือนคนละโลกกับสถานนี้ JR Utsunomiya Station ด้านบนเลยค่ะ เพราะการตกแต่งด้วยสีน้ำตาลครีมทั้งหมดเพื่อทำให้ดูโบราณ แม้กระทั้งตู้กดน้ำก็เป็นสีน้ำตาลค่ะ
Arrived at JR Nikko Station
เมื่อเราสองคนนั่งรถไฟมาถึง JR Nikko Line แล้ว คุณ Juth ก็เอาสมุดไปเก็บ Stamp รูปวัดสัญลักษณ์ประจำเมือง Nikko ค่ะ จากนั้นเราก็เดินไปต่อแถวขึ้นรถเมล์ซึ่งป้ายรถเมล์อยู่ที่หน้าสถานีเลยค่ะหาไม่ยาก แต่ถ้าไม่อยากขึ้นรถเมล์สามารถเดินไปก็ได้นะคะ
รถเมล์สาย World Heritage Bus จะพาเราไปผ่าน Nikko Bus Terminal และ Tobu Nikko Station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟอีกสถานีหนึ่งซึ่งเป็นของเอกชนที่สามารถนั่งมาจากโตเกียวสถานี Shinjuku หรือ Asakusa ได้ค่ะ จากสถานีรถไฟนั่งรถเมล์ไปไม่ถึง 10 นาทีจะถึงสะพาน Shinkyo Sacred Bridge สะพานสีแดงอังเป็นสัญลักษณ์ที่ใครมานิกโก้ก็ต้องมาถ่ายรูป ถ้าเดินไปใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีค่ะ ถ้าเดินสองข้างทางจะมีร้านค้าร้านขนมให้เราเลือกซื้อหากันค่ะ Knot วางแผนไว้ว่าขาไปเรานั่งรถเมล์ไป ขากลับเราจะเดินกลับค่ะ ทริปนี้เราจะเที่ยวแค่ในโซนของวัดเท่านั้นค่ะ ไปไม่ถึงทะเลสาบ Chuzenji ค่ะ
แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้องเสมอค่ะ พอมาถึงที่ป้ายรถเมล์ตรง Shinkyo Bridge เราสองคนก็ลงจากรถเมล์เพื่อหาอาหารกลางวันทานกันก่อนที่จะเดินขึ้นเขาไปเที่ยววัดต่าง ๆ ค่ะ มื้อนี้เราเลือกทานร้านราเม็งร้านที่ติดกับสะพานแดงเลยค่ะ ใกล้ป้ายรถเมล์มากที่สุด
หมี่เย็น น้ำซุป โซบะหน้าเทมปุระ โซบะเทมปุระ
Shinkyo Sacred Bridge
Shinkyo Bridge (神橋, Shinkyō, “sacred bridge”) หรือสะพานชินเคียวตั้งอยู่ที่ทางเข้าศาลเจ้าและวัดของ Nikko ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของ Futarasan Shrine ซึ่งตัวศาลตั้งอยู่ห่างจากสะพานไปบนเขาประมาณ 1 กม ไม่ได้อยู่บนพื้นที่ของวัดและศาลเจ้าดัง ๆ ในโซนของ World Heritage Site สะพานชินเคียวเป็นหนึ่งในสามสะพานที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นร่วมกับสะพานไม้ Kintaikyo แห่งเมือง Iwakuni และสะพาน Saruhashi ในปราสาท Yamanashi Prefecture
สะพานชินเกียวตัวนี้ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1636 แต่ก่อนหน้านี้เคยมีสะพานที่ยาวกว่านี้ตั้งอยู่ตรงนี้มาก่อน แต่ไม่มีประวัติความเป็นมาที่ชัดเจน กระทั่งปี ค.ศ.1973 สะพานชินเคียวมิได้อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าถึง ต่อมามีการบูรณะสะพานแห่งนี้ครั้งใหญ่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 90 จนถึงต้นยุค 2000 หลังจากบูรณะเรียบร้อย ปัจจุบันได้เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเด้นข้ามสะพานและเดินกลับได้ โดยต้องจ่ายเงินค่าเข้าคนละ 500 เยนค่ะ
เราสองคนไม่ได้เดินข้ามสะพานชินเคียวนะคะ แต่ยืนถ่ายรูปอยู่ตรงสะพานที่รถวิ่งค่ะ เพราะถ้าเราไปยืนบนสะพานก็จะไม่สามารถถ่ายรูปสะพานได้ทั้งหมดค่ะ แต่เราแวะไหว้ตรงจุดที่เค้าจัดให้เราไหว้โดยไม่ต้องขึ้นไปบนเข้าค่ะ ก่อนที่จะเดินข้ามถนนไปยังเขตของ World Heritate Site
Nikko World Heritage Site
จากสะพานเดินเลี้ยวซ้ายข้ามถนนมาจะเห็นมีป้ายหินคล้าย ๆ แผนที่บอกค่ะว่าเราอยู่ตรงไหน เดินไปยังไง เราสองคนเดินขึ้นบันไดจากจุดนี้เพื่อไปที่วัด Rinnoji ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของศาลเจ้าและวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1999 ค่ะ ซึ่งเป็นการขึ้นทะเบียนรวมวัด ศาลเจ้า และพื้นที่โดยรอบด้วยค่ะ จึงเรียกพื้นที่นี้ว่า Shrines and Temple of Nikko World Heritage Site ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับประวัติศาสตร์ในยุคโชกุนโตกุกาวะ หรือ Tokugawa Shogun
ก่อนจะถึงวัดแรกเรามาทำความรู้จัก Nikko กันก่อนดีกว่าค่ะ Nikko เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดโตชิกิ หรือ Tochigi prefecture หากเดินทางมาจากโตเกียวจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงโดยรถไฟ นิกโก้มีพื้นที่ศาลเจ้าและวัดรอบ ๆ Mount Futara (หรือ Mount Nantai) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 8 โดยหลวงพ่อ Shodo (735-817) พื้นที่รอบทะเลสาป Chuzenji เป็นสถานที่ฝึกอบรมพระธรรมในศาสนาพุทธ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่รอบ ๆ ศาลเจ้าชื่อดังในเมืองนี้ซึ่งอยู่ในพื้นที่มรดกโลกที่เราจะไปเยือนกันในวันนี้ ซึ่งมีชื่อว่า Nikko Toshogu Shrine ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับโชกุน Tokugawa Ieyasu นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาแล้ว นิกโก้ยังเป็นเมืองที่สวยงามมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เรียกว่าเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียวค่ะ
จากแผ่นหิน Knot เดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ เดินง่ายไม่หลงค่ะ บันไดแม้จะดูชื้น ๆ แต่ไม่ลื่นเค้าออกแบบทำความสะอาดกันเป็นอย่างดี สองข้างทางเป็นต้นสนขนาดใหญ่มากทำให้แม้ว่าแดดจะแรงเพียงใด พอเดินเข้ามาในเขตพื้นที่นี้เราก็จะพบกับความสงบ ร่มรื่น เขียวชอุ่ม สมกับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
Rinnoji Temple – Sanbutsudo
วัดรินโนจิ หรือ Rinnoji Temple (輪王寺, Rinnōji) ถือเป็นวัดที่สำคัญที่สุดของ Nikko สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อ Shodo Shonin ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ให้กับประชาชนในเมืองนิกโก้ในยุคศตวรรษที่ 8 ตั้งแต่แผ่นหินเป็นต้นไปเป็นพื้นที่ของวัด Rinnoji ทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วยวัดและหอต่าง ๆ ทั้งหมด 15 หลัง อาคารหลักของวัดรินโนจิมีชื่อว่า Sanbutsudo หรือศาลาพระสามองค์ (Three Buddha Hall) ซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ขนาดใหญ่สามองค์ ได้แก่ Amida, Senju Kannon, Bato Kannon ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของเทพเจ้าแห่งเทือกเขานิกโก้แห่งนี้ ซึ่งองค์ Amida จะเป็นไม้ลงรักปิดทอง องค์ Senju Kannon คือพระเจ้าพันมือ และองค์ Bato Kannon คือองค์ที่มีพระเศียรเป็นม้า ศาลา Sanbutsudo เพิ่งเปิดให้เข้าชมอีกครั้งเมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ หลังจากปิดเพื่อการบูรณะอย่างยาวนานเกือบทศวรรษกันเลย
จากภาพข้างบนจะเห็นได้ว่า แม้จะเปิดให้เข้าชมแล้ว ก็ยังมีพื้นที่ด้านนอกศาลาบางส่วนที่ยังอยู่ระหว่างการซ่อมแซมค่ะ ก่อนเข้าไปถึงศาลาก็จะมีลานจอดรถขนาดใหญ่ ซึ่งมีรูปปั้นหลวงพ่อ Shodo ตั้งไว้ให้เราได้สักการะบูชากันด้วยค่ะ
Ticket Booth Combo Ticket
บัตรเข้าชมที่เราสามารถซื้อที่ Rinnoji Temple ได้จะมีสองแบบสำหรับผู้ใหญ่ค่ะ คือ แบบที่ 1 400 เยน สำหรับเข้าชมเฉพาะ Sanbutsudo เท่านั้น และ 900 เยนสำหรับเข้าชม Sanbutsudo และ Taiyuin หรือ Iemitsu Mausoleum อีกวัดหนึ่งไม่ไกลจาก Rinnoji Temple เท่าไหร่ค่ะ Knot เลือกที่จะซื้อแบบ Combo ไปเลยจะได้ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อกันอีกรอบค่ะ
เมื่อซื้อบัตรเข้าชมเรียบร้อย เราสองคนก็เดินไปซื้อธูป 100 เยนค่ะ นำไปจุดธุปที่กระถางกลางแจ้งแล้วปักลงในกระถาง วิธีการไหว้ของคนญี่ปุ่น คือ เมื่อปักธูปแล้ว ให้กวักควันธูปใส่ตัวเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายค่ะ ไหว้เรียบร้อย ก่อนเข้าศาลาก็ล้างมือ ล้างหน้า และล้างปากกันค่ะ
เช่นเดิมค่ะ ทุกวัด ทุกศาลเจ้าที่เราเข้าไปไหว้พระกัน คุณ Juth จะต้องแวะไปที่ร้านขายเครื่องรางของวัดเพื่อเลือกหาเครื่องรางที่ถูกใจมาสะสมไว้ค่ะ สำหรับวัด Rinnoji แห่งนี้ ด้านหลังของ Sanbutsudo จะมีอาคารอีกหลังที่เป็นสถานที่สำหรับการสวดขอพร จะมีกระดาษให้เราเขียนขอพรแล้วใส่ลงกล่องไว้ พระจะสวดขอพรให้เราในพิธีค่ะ
Toshogu Shrine
จาก Rinnoji Temple เราเดินไปทางด้านหลังของอาคารแรก ผ่านหน้าอาคารที่สองจะเจอถนนโรยกรวดทางเดินที่สองข้างทางเป็นต้นสนสวยงามมาก เดินลึกเข้าไปจะเห็นร้านขายของที่ระลึกอยู่ทางซ้ายมือ ป้ายชี้ไปทางขวาเป็นร้านกาแฟค่ะ เราสองคนเดินตรงไปก่อนเพื่อเข้า Toshogu Shrine ศาลเจ้าที่สวยงามและโด่งดังเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของ Nikko ค่ะ
ทางเดิน ร้านขายของที่ระลึก
ศาลเจ้า Nikko Toshogu Shrine แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับโชกุน Tokugawa Ieyasu (1543-1616) ผู้ก่อตั้ง Edo Bakufu (หรือที่เรียกกันว่าราชวงศ์ Tokugawa shogunate, 1603-1867) อาคารส่วนใหญ่สร้างขึ้นในยุคโชกุนโตกุกาวาที่สาม Tokugawa Iemitsu (1604-1651) ศาลเจ้าแห่งนี้มี Yomeimon Gate ซึ่งมีรูปสลักไม้อันสวยงามอยู่มากมาย มีเรื่องเล่ากันว่าขณะที่สร้างได้มีการรวบรวมช้างไม้ฝีมือดีที่เชี่ยวชาญด้านในการสร้างวัดมาช่วยกันสร้าง นอกจากนี้ ยังมีรูปสลักของสัตว์ต่าง ๆ มากมายอันเป็นสัญลักษณ์ของความสงบ ซึ่งรูปสลักที่มีชื่อเสียงอันหนึ่ง ก็คือ “Three Wise Monkeys” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคำสอนที่ว่า “See no evil, speak no evil, hear no evil” ของศาสนาพุทธนิกาย Tendai หนึ่งในโรงเรียนสอนศาสนาพุทธของญี่ปุ่นนั่นเอง
อีกหนึ่งรูปสลักที่โด่งดังของ Toshogu Shrine คือ แมวหลับ หรือ Sleeping cat หรือ Nemuri Neko ซึ่งแกะสลักโดย Hidari Jingorō ช่างสลักชื่อดังผู้หลงใหลในแมวและมีชื่อเสียงในการแกะสลักแมวให้ดูมีชีวิต แมวหลับตัวนี้แกะสลักขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความสงบเป็นผลงานในยุค Edo (1603-1868) เมื่อเรารอดใต้แมวหลับขึ้นไปจะเป็นทางขึ้นไปสุสานของท่าน Ieyasu ด้านบนจะมีศาลเจ้าสำหรับสักการะท่านโชกุน และมีเครื่องรางรูปแมว Nemuri Neko ซึ่งคุณ Juth ของเราก็ไม่พลาดค่ะ
คุณ Juth น่าจะอธิษฐานว่าขอให้อินดี้เลี้ยงง่าย ๆ ไม่ดื้อ ไม่ซนนะคะ อินดี้เป็นแมวของคุณ Juth ค่ะ เป็นแมวสามสีอวบอ้วนน่าฟัด เรียบร้อยน่ารักค่ะ แต่ขี้บ่นและขี้โวยวายนิดหน่อยค่ะ
เซียมซี ผูกไว้
หลังจากปีนเขาขึ้นไปไหว้สุสานด้านบน ซึ่งพอขึ้นไปถึงเราสองคนหิวน้ำมาก ไปกดตู้มีแต่ชาเขียวเย็นค่ะ ไม่มีความหวานใด ๆ ก็ให้คุณ Juth นั่งพักสักนิดหน้าซีดเซียวทีเดียว พอหน้ามีสีสันเราก็เดินลงมาด้านล่างไปซื้อซอฟต์ครีมทานกันค่ะ ตรงป้ายที่เขียนว่าร้านกาแฟค่ะ
Taiyuin Temple (Iemitsu Mausoleum)
จากด้านหน้าของศาลเจ้า Toshogu เราสองคนเดินไปทางซ้ายมือผ่านร้านขายของที่ระลึก ไปตาม Cedar Path อันสวยงาม เราจะเห็นว่ามี รถลากรอให้บริการอยู่ค่ะ ถ้าไม่ยากเดินสามารถนั่งรถลากได้ค่ะ เป็นการเดินทางแบบโบราณที่คนลากจะลากไปส่งถึงที่ค่ะ หรือถ้าเราจ้างให้เค้าลากพาเที่ยวทั้งบริเวณก็ได้เช่นกันค่ะ แต่เราสองคนเลือกที่จะเดินค่ะ ทานซอฟต์ครีมไปด้วยเดินไปด้วย ถึงหน้า Taiyuin ก็ยังไม่หมดค่ะ เราต้องทานให้หมดก่อนเข้าด้านในนะคะ เค้าไม่ให้เราเอาน้ำและอาหารเข้าไปด้านในค่ะ ด้านหน้าของวัดนี้จะมีห้องน้ำสาธารณะให้ใช้บริการค่ะ จริง ๆ แล้วมีทุกวัดนะคะ ที่ Taiyuin นักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าที่อื่นมากค่ะ เพราะอยู่ไกลกว่าและความสวยงามค่อนข้างคล้ายกับ Toshogu ค่ะ บริษัททัวร์หลายแห่ง นักท่องเที่ยวหลายคนถ้ามีเวลาไม่มากจะไม่มาวัดนี้ เพราะต้องเดินบันไดปีนเขาขึ้นไปด้านบนค่ะ วัดนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับโชกุนองค์ที่สามของ Edo Bafuku หรือโชกุน Tokugawa Iemitsu (1604-1651) นั่นเอง ซึ่งสร้างขึ้นตามคำสั่งเสียของท่านที่ต้องการให้ฝังศพของท่านไว้ใกล้ ๆ กับปู่ของท่าน โชกุน Tokugawa Ieyasu ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ ด้วยความเชื่อที่ว่าจะได้ไปทำงานให้ท่านหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว
โดยปกติแล้วอาคารหลักของวัดจะหันหน้าไปทางทิศใต้ แต่ Taiyuin Temple หันหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ แม้ว่าจะเป็นทิศที่คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นทิศที่โชคร้าน การหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นการกระทำเพื่อแสดงความเคารพต่อท่านปู่ของท่านโชกุนโดยต้องการที่จะหันหน้าไปทาง Toshogu Shrine นั่นเอง ที่วัดแห่งนี้มีรูปสลักไม้ของยักษ์และเทวดารักษาประตูทางเข้าที่สวยงามมาก
จากทางเข้าเราสองคนค่อย ๆ เดินตามบันไดขึ้นไปด้านบนเพื่อเข้าไปที่ตัวอาคารหลัก เมื่อเข้าไปถึง มีพระเทศน์เล่าเรื่องราวของท่านโชกุน Iemitsu Tokugawa และความเป็นมาของวัดแห่งนี้ให้ฟังกันค่ะ มีการเล่าเรื่องถึงลูกศรทองคำหรือ Golden Dragon Arrow ที่มีขายเฉพาะที่นี่เท่านั้น เชื่อกันว่าถ้าบ้านไหนมีประดับไว้จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริงทุกประการและปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายอีกด้วย เมื่อเทศน์จบพระรูปเดียวกันนี้ก็ไปขายของที่ระลึกด้วยค่ะ งานนี้ Knot ไม่พลาดค่ะ บูชามา 1 อัน สวยงามมากค่ะ
หลังจากลงจากวัด Taiyuin เราสองคนก็หมดแรง จริง ๆ ยังเหลืออีก 2 ที่ คือ Futarasan Shrine และ Kaizando ค่ะ ที่เราไม่ได้ไปกันทริปนี้ ไว้กลับมาคราวหน้าจะพาไปเที่ยวกันอีกค่ะ แต่เราก็ได้เข้าชมอาคารหลัก อาคารรอง ทุกหลังของ Toshugu Temple, Rinnoji Temple และ Taiyuin Temple แล้วซึ่งมีสถาปัตยกรรมอันสวยงามของยุค Edo ให้เราได้ชื่นชมกันค่ะ หากมีเวลา Knot อยากให้มาเที่ยวกันในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีค่ะ Nikko World Heritage Site นี้มีทั้งใบไม้สีแดงและสีเหลืองตัดกันสวยงามมาก และถ้าชอบแช่ออนเซน Nikko เป็นอีกเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้ มีรีสอร์ทออนไซนที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอยู่นอกพื้นที่นี้ไปนอกเมืองไม่ไกลมากนักค่ะ
ขนมที่ต้องห้ามพลาด
วันนี้ทั้งวันดูเหมือนเราจะไม่ได้ทานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่จริง ๆ Knot แอบเล็งไว้ในใจแล้วว่า ก่อนกลับจะพาคุณ Juth และกินขนมคล้าย ๆ ซาลาเปาทอดไส้ถั่วแดงร้านนี้ค่ะ Knot เคยมาทานตั้งแต่เค้ายังเป็นเพิงค่ะ ตอนนี้จัดเป็นอาคารร้านรวง มีที่นั่ง มีน้ำชาให้ทานด้วยค่ะ สังเกตได้ว่าร้านเค้ามีคนดังมาทานเยอะมากค่ะ ขนมร้านนี้ตั้งอยู่หน้า Bus Terminal ค่ะ 1 ป้ายก่อนถึง JR Nikko Station เราสามารถเดินไปที่สถานีรถไฟจากตรงนี้ได้ไม่ไกลค่ะ
JR Nikko Station
หลังจากอิ่มอร่อยกับของโปรด ที่ไม่สามารถซื้อกลับบ้านได้นะคะ เพราะถ้าเย็นก็จะไม่อร่อยแล้ว เราสองคนก็เดินไปที่ JR Nikko Station เพื่อรอรถไฟกลับไปยัง Utsunomiya Station แล้วต่อ Shinkansen กลับไปที่ Sendai Station ค่ะ เราสองคนลงความเห็นว่าจะไปทานอาหารเย็นกันที่เซนได ร้านชาบูที่เจ้านายคุณ Juth แนะนำมาค่ะ
รองท้อง รองท้อง
Kaisenchubo Kani Masamune
ร้านชาบูแห่งนี้อยู่ไม่ไกล JR Sendai Station มากนักค่ะ เดินประมาณ 15 นาที ถ้าเราไม่หิวก็คงไม่มีปัญหาใด ๆ ร้าน Kaisenchubo Kani Masamune นี้ตั้งอยู่ที่ Miyagi Pref. Sendaishi Aoba-ku Honchou 2-5-18 (SendaiArea) โทร 0222650880 แต่เราสองคนมาถึงเซนไดเวลาก็ทุ่มกว่าแล้วค่ะ หิวมาก เปิด Google Map หาทางเดินไปร้านนี้ ค้นหาภาษาอังกฤษไม่เจอ คุณ Juth ต้องแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วค้นหาด้วยภาษาญี่ปุ่นจึงเจอค่ะ
เราสองคนเดินตาม Google Map ไปตามทางที่สองข้างทางเป็นอาคารสำนักงานไม่มีร้านค้ามากนัก เกิดความฉงนว่าเรามาถูกทางไหม 15 นาทีผ่านไปเราก็ได้เห็นร้าน ตอนที่เกือบจะถอดใจเดินกลับไปที่สถานีรถไฟแล้วไปหาร้านอื่นทานพอดี ร้านใหญ่โตมากค่ะ มีหลายชั้น ด้านล่างเป็น Reception ไม่มีคนนั่งเท่าไหร่ค่ะ แต่ด้านบนแบ่งเป็นห้องส่วนตัวขนาดเล็กใหญ่ตามจำนวนแขกที่มา เราไปถึงพนักงานก็นำอุปกรณ์การสั่งอาหารมาให้ค่ะ เป็นจอทัชสกรีน ที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วน ๆ คุณ Juth พยายามเล่นมากมาย
สักพักคุณป้านำเมนูที่มีรูปมาให้ มื้อนี้คุณ Juth พูดคุยกับคุณป้าพนักงานเป็นภาษาญี่ปุ่น และคุณป้าชมคุณ Juth ว่าพูดเก่งมาก คุณ Juth หน้าบานเลยค่ะ มาดูอาหารกันนะคะ ร้านนี้ดังเรื่องปูและชาบูค่ะ คุณป้าแนะนำให้คุณ Juth สั่งเป็นเซต ปู 1 ตัว พร้อมผัก ตามภาพเลยค่ะ
ตอนไป Matsushima Knot พลาดไม่ได้กินหอยนางรมย์ พอเห็นเมนูที่ร้านนี้ ประกอบกับราคาที่ไม่แพงมาก ก็เลยจัดมา 3 ตัว เนื้อปู และเนื้อหอยของร้านนี้สด หวานอร่อยมากค่ะ
เมื่อเราทานผักและเนื้อหมด น้องพนักงานชาวเวียดนามก็เอาข้าวมาใส้น้ำซุปที่เหลือทำเป็นข้าวตุ๋นให้เราทานกันค่ะ จริงๆ เค้าไม่ทำให้นะคะ แต่เนื่องจากเราสองคนทำไม่เป็น น้องก็พยายามจะสอนแล้ว แต่ทำให้คงจะง่ายกว่าค่ะ
เราสองคนทานกันอิ่มมาก พอจะเช็คบิลเราก็หยิบเครื่งมาค่ะ กดปุ๊บ ก็จะแจ้งราคา และมีให้เลือกด้วยว่าจะหารกันไหม อย่างไร มื้อนี้เราสองคนทานกันไป 8,499 เยนเท่านั้น ราคาถือว่าถูกกว่าร้าน Kani Doraku ที่ Knot ชอบไปทานที่โอซาก้าหลายพันเยนเลยค่ะ เซตชาบูที่ร้านนั้นเริ่มต้นที่ 1xxxx เยนค่ะ อันนี้มีเครื่องดื่ม มีอาหารอย่างอื่นด้วยค่ะ ใครมีโอกาสมาเที่ยวเซนได Knot แนะนำว่าไม่ควรพลาดนะคะ โดยเฉพาะคนที่ชอบทานปูยักษ์ แต่อาจจะต้องหาคนที่พูดหรืออ่านภาษาญี่ปุ่นได้มาด้วยก็จะดีค่ะ แต่ถึงจะพูดไม่ได้ พนักงานเค้าก็พยายามให้บริการเราเต็มที่มากค่ะ
โพสต์นี้เป็นอีกหนึ่งโพสต์ที่ยาวมากแต่หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ เพราะนิกโก้เป็นเมืองที่สวยงาม อาหารอร่อย ผู้คนน่ารัก ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวโตเกียว แล้วจะออกไปเที่ยวนอกเมือง Nikko เป็นอีกหนึ่งเมืองที่สามารถทำ Day Trip ได้ค่ะ หลังจากอิ่มอาหารแล้วเราสองคนก็เดินกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม พอเดินออกจากร้านเปิด Google map เพื่อกลับโรงแรม เลยได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วร้านแค่อยู่อีกฝั่งถนนหนึ่งเท่านั้นค่ะ ขนานกับถนนช้อปปิ้งเลยค่ะ
สุดท้ายนี้ Knot ขอขอบคุณทุกท่านนะคะ ที่ติดตามอ่านกันมาจนจบโพสต์นี้ โพสต์ต่อไป Knot จะพาไปเที่ยวตัวเมือง Sendai กันก่อนที่เราจะกลับไปเที่ยวโตเกียวกันต่อค่ะ ฝากทุกท่านกดไลค์ กดแชร์ Facebook และ IG @Trips in My Memory และ Subscribe YouTube ที่ Trips in My Memory ด้วยนะคะ Knot จะพยายามอัพเดทโพสต์และคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้อ่านกัน