วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่ Sendai กันค่ะ เราจะนั่งรถ Loople Sendai เที่ยวรอบเมืองแล้วบ่ายๆ ก็จะนั่งรถไฟ Shinkansen ไปโตเกียวค่ะ ซึ่งเราจะมีเวลาเที่ยวโตเกียวต่ออีกนิดหน่อยก่อนบินกลับกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้นค่ะ แต่ Knot จะพาเที่ยวโตเกียวกันต่อเลยนะคะ เพราะหลังจากทริปนี้ ไม่นาน Knot กับคุณ Juth ก็ได้กลับมาเยือนโตเกียวอีกครั้งพร้อมกับพาลูกค้าที่แสนน่ารักมาเที่ยวด้วยค่ะ เช้านี้เราเก็บของเช็คเอ้าท์แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมกันเลยค่ะ เพราะเราคาดการณ์ว่าน่าจะกลับมาหลังเที่ยงค่ะ เพราะเราจองรถไฟ Shikansen เที่ยวบ่ายสองโมงไว้ค่ะ
Breakfast @Hoshino Coffee
เช็คเอ้าท์เรียบร้อย เราสองคนก็เดินไปที่ Cris Road เพื่อหาอาหารเช้าทานกันค่ะ เราเล็งร้าน Hoshino Coffee ไว้ บรรยากาศภายในร้านตกแต่งสไตล์ห้องสมุดยุโรปค่ะ บรรยากาศน่านั่งมากค่ะ ร้านมีสองชั้นค่ะ เนื่องจากเรามาค่อนข้างเช้า ลูกค้ายังไม่เยอะ เราก็เลือกนั่งด้านล่างค่ะ เค้ามีโซนที่นั่งสำหรับลูกค้าที่สูบบุหรี่ด้วยค่ะ ราคาไม่แพงค่ะ มีขายเป็นชุดอาหารเช้า คืออาหารพร้อมเครื่องดื่มค่ะ 300-400 เยนต่อชุดค่ะ
คุณ Juth สั่ง Pizza Toast กับชาเย็น Knot สั่ง Ceasar Salad กับอเมริกาโน่ร้อนค่ะ อยากชิม Hand Drip Coffee ของเค้าค่ะ กาแฟร้านนี้หอมอ่อน ๆ ดีค่ะ น่าจะเป็นคั่วกลางถึงอ่อนค่ะ รสชาติไม่เปรี้ยวมากออก Berry นิด ๆ ทานคู่กับ Toast กำลังอร่อยค่ะ แต่เนื่องด้วยต้องการ Fibre ก็เลยสั่งสลัดมากค่ะ แต่ขนมปังที่โรยมากับสลัดคือกรอบนอกนุ่มในอร่อยมากค่ะ
ชาเย็นของที่นี่คือน้ำชาใส่น้ำแข็งแล้วให้นมและน้ำเชื่อมมาต่างหากค่ะ ให้มาปรุงเอง เหยือกน้ำเชื่อมน่ารักมากค่ะ ส่วนอเมริกาโนของ Knot ไม่เติมน้ำตาลหรืออะไรใดๆ ค่ะ เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟแท้ ๆ แต่กาแฟญี่ปุ่นจะขมน้อยกว่าบ้านเราเพราะเค้าจะชอบกาแฟคั่วอ่อนหรือคั่วกลางมากกว่าค่ะ บางร้านจะออกเปรี้ยวมากแทบจะทานไม่ได้เลย แต่กาแฟแบบนี้ คาเฟอีนจะเยอะกว่ากาแฟคั่วเข้มที่บ้านเราชอบทานกันค่ะ
หลังจากพนักงานเสิร์ฟอาหารแล้ว เค้าก็เอาป้ายมีหมายเลขสำหรับไปจ่ายเงินให้เราค่ะ ต้องบอกว่าร้านนี้ต่างจากคาเฟ่อื่น ๆ ที่เราไปทานตรงที่ เมื่อเราเข้ามาที่ร้าน พนักงานจะนำเมนูมาให้ สักพักจะมารับออเดอร์ เสิร์ฟ เมื่อลูกค้าจะกลับจึงไปจ่ายเงิน เหมือน Swensens บ้านเราค่ะ ซึ่งปกติคาเฟ่อื่นๆ เราจะต้องสั่งและชำระเงินที่เค้าเตอร์แล้วไปรับอาหารมาเองเหมือน Starbucks ค่ะ พอเราสองคนทานอาหารเช้าเสร็จ Knot ก็เดินไปเข้าห้องน้ำ ขอบอกว่าห้องน้ำหญิงที่นี่อยู่ชั้นสองค่ะ ห้องน้ำสะอาดและจัดตกแต่งไว้น่ารักมากค่ะ เดินกลับลงมาก็ไปจ่ายเงินแล้วเดินย้อนกลับไปทางสถานีรถไฟ JR Sendai กันค่ะ
เดินเล่นก่อนไปขึ้นรถ Loople Sendai
เราเดินย้อนทางเดิมออกมาเพื่อจะไป Bus Terminal ด้านหน้าสถานีรถไฟค่ะ แต่ทางกลับก็จะผ่านร้านตู้เกมส์ ตู้คีบตุ๊กตาค่ะ คุณ Juth ก็แวะเล่นไปเรื่อย ๆ ผ่านศาลเจ้า Three Takiyama Fudoin อีกครั้งซึ่งคราวนี้เราเดินเข้าไปไหว้ที่ศาลเจ้าด้านในกันค่ะ เครื่องรางของศาลเจ้านี้เป็นรูปกบน่ารักมากค่ะ มีสองสี คุณ Juth และ Knot เลยจัดมาคนละ 1 อันค่ะ เป็นเครื่องรางปกป้องคุ้มครองจาก Evil ค่ะ
ขากลับเราเดินผ่านดองกี้ด้วยค่ะ จริง ๆ แล้วเราก็ผ่านเค้าทุกวันค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูป สังเกตุนิดนึงนะคะ ว่าดองกี้ร้านนี้เค้าใส่หมวกซามูไรของดาเตะ มัตสึมุเนะ ค่ะ มีไข่ปลาหมึกปิ้งเป็นอาวุธด้วยค่ะ
Loople Sendai Bus
ตัวเมือง Sendai จริง ๆ แล้วไม่ใหญ่มากค่ะ มีสถานที่ท่องเที่ยวไม่เยอะมากนัก แต่ละแห่งอยู่ห่างกันพอสมควร การท่องเที่ยวของ Sendai ได้จัดให้มีรถเมล์บริการนักท่องเที่ยวเรียกว่า Loople Sendai ซึ่งจะพาเราวนเป็นวงกลมไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถลงไปเที่ยวแล้วกลับมาขึ้นรถคันต่อไปได้ เหมือนรถเมล์นำเที่ยวสองชั้นแบบ Hop on Hop off ที่เราเห็นกันมากในยุโรปค่ะ Loople Sendai ให้บริการตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นค่ะ รถจะออกทุก ๆ 15 นาที ตั๋ว Loople Sendai มีสามแบบ ได้แก่
- แบบเที่ยวเดียวราคา 260 เยน
- One-day Loople Sendai Pass ราคา 630 เยน
- One Day Loople Sendai and Subway Pass ราคา 920 เยน
Knot เลือกซื้อแบบที่สองค่ะ One Day Pass Loople Sendai เพราะเราจะขึ้นไปและแวะเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เราสนใจตามที่พอมีเวลาค่ะ สามารถซื้อตั๋วได้ที่ West Exit Bus Pool Stop 16 ค่ะ ลงบันไดปุ๊บจะเห็นป้ายขนาดใหญ่พร้อมลูกศรชี้ทางไว้ให้เลยค่ะ เราต้องซื้อตั๋วก่อนขึ้นรถนะคะ ถ้าอยากได้แบบ One Day Pass ถ้าไม่ซื้อก่อนขึ้นรถ จะต้องซื้อแบบเที่ยวเดียวทุกครั้งที่ขึ้นค่ะ เมื่อซื้อแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้ตั๋วเรามาพร้อมแผนที่ค่ะ ห้ามทำหายนะคะ ถ้าหายซื้อใหม่สถานเดียวค่ะ ถ้าใครสังเกตในภาพแผนที่มีภาษาไทยด้วยนะคะ บนรถจะมี Free Wifi ให้ใช้ค่ะ
รถบัส Loople Sendai จะมีหน้าตาเป็นรถโบราณค่ะ ทาสีน้ำตาลครีม แต่ภายในไม่โบราณนะคะ มีป้ายอิเล็คทรอนิกส์และการประกาศให้ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษด้วยว่าถึงไหนแล้ว ป้ายต่อไปเป็นอะไรค่ะ สมกับที่เป็นรถบริการนักท่องเที่ยวจริง ๆ ค่ะ
เราวางแผนกันว่าจะแวะเที่ยวที่ Site of Sendai Castle และ Osaki Hachimangu Shrine 2 จุดเท่านั้นค่ะ เพราะแดดร้อนมาก แล้วเรามีเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงค่ะ แต่การนั่งรถ Loople Sendai ถึงจะไม่ได้ลงไปแต่เราก็เห็นสถานที่ท่องเที่ยวครบทุกจุดค่ะ
Site of Sendai Castle
วันนี้แดดค่อนข้างแรงมากนะคะ แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนตกช่วงบ่ายค่ะ ฟ้าใสแดดเปรี้ยงมาก หลังจากขึ้นรถบัสมาถึงป้ายที่ 4 ถึง Site of Sendai Castle ซึ่งเป็นเนินเขา อดีตเคยเป็นที่ตั้งของปราสามแห่งเซนไดที่ท่านดาเตะ มัตซึมุเนะ อาศัยอยู่ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเซนไดค่ะ ลงจากรถบัสปุ๊บเราจะเห็นบันไดทางขึ้นจะมีตู้กดน้ำตกแต่งสวยงามค่ะ หน้าร้อนก็จะมีแต่น้ำเย็นค่ะ โค้กที่ตู้นี้ไม่มีขวด Sendai Limited Edition ค่ะ
เดินเลยตู้กดน้ำมาหน่อยก็มีกล่องเซียมซีให้เราได้ลองเสี่ยงทายกันดูค่ะ Knot ลองเสี่ยงทายมาได้คราดค่ะ สังเกตุว่าเซียมซีมีคำแปลภาษาไทยด้วยนะคะ แปลว่า “นำความสุขความเจริญเข้ามา ค้าขายเจริญรุ่งเรือง” สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ ขอให้ขายดีๆ จะได้มีงบประมาณไปเที่ยวบ่อยๆ จะได้มีเรื่องมาเล่าให้ทุกคนฟังกันค่ะ
ของคุณ Juth ได้เป็นกบค่ะซึ่งเป็นเครื่องรางสำหรับ “การขับขี่ปลอดภัย สุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บค่ะ” ถ้าใครได้คำทำนายที่ไม่ดี ก็จะผูกติดไว้ค่ะ เหมือนธรรมเนียมของบ้านเราค่ะ แต่ไม่รู้ว่าใครลอกใคร แต่น่าต้นตอน่าจะมาจากประเทศจีนที่เป็นต้นกำเนิดของเซียมซี
หลังจากเดินขึ้นบันไดไปจะเห็นด้านซ้ายมือมีอาคารนิทรรศการ ซึ่งมีการใช้ Halogram ผสมกับเทคนิคทางวิดีโอและเลเซอร์ต่าง ๆ ช่วยในการจำลองภาพ Sendai Castle ในอดีต พร้อมทั้งบอกเล่าประวัติความเป็นมา การก่อสร้าง รวมถึงการขุดค้นพบซาก Semdai Castle ด้วยค่ะ เนื่องจากในอดีต Sendai Castle สร้างจากไม้ จึงมีการผุพังไปตามกาลเวลา ปัจจุบันเหลือเพียงตอหม้อให้เราเห็นตามภาพค่ะ ภายในอาคารจะมี Stamp ให้เราเก็บสะสมเป็นที่ระลึกด้วยค่ะ หากอยากเข้าห้องน้ำที่นี่ก็มีให้บริการค่ะ สะอาดสะอ้านตามประสาห้องน้ำญี่ปุ่นค่ะ
หากมองจาก Site จะเห็นทัศนียภาพของเมืองเซนไดทั้งหมดค่ะ จากเนินเขาซึ่งเป็นชัยภูมิสำคัญของการสร้าง Castle แห่งนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ปกครองจะมองเห็นความเป็นอยู่ของประชาชนในเมือง ข้าศึกศัตรูที่มารุกราน รวมถึงผู้ที่เดินทางเข้าออกจากเมืองอีกด้วยค่ะ เรียกว่าเป็นชัยภูมิที่ดีมาก ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นเสมือนสวนสาธารณะที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม มีนักแสดงมาเปิดหมวกแสดง บางคนใส่ชุดซามูไร บ้างใส่ชุดนินจา หารายได้จากการแสดงและถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว ด้านในเข้าไปมีต้นไม้ร่มรื่น สามารถเดินเล่นได้ค่ะ
ภายในพื้นที่ยังมีพิพิธภัณฑ์ อนุสาวรีย์ของบุคคลสำคัญประจำเมืองเซนไดให้เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้วยค่ะ แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะคะ พื้นที่นี้กว้างใหญ่พอสมควร ก็จะมีจุดให้เราได้นั่งพักถ่ายรูปสวย ๆ กันบ้างค่ะ
สมควรแกเวลาเราก็เดินกลับลงมารอรถบัสคันต่อไปค่ะ สังเกตว่าร้อนมากนักท่องเที่ยวต้องกางร่มกันเป็นแถวค่ะ ฝนยังไม่ตกนะคะ
Osaki Hachimangu Shrine
จุดต่อไปที่เราจะลงไปเที่ยวก็คือ ศาลเจ้า Osaki Hachimangu Shrine ซึ่งเป็นป้ายที่ 12 บนแผนที่ของ Loople Sendai ค่ะ Date Masamune ได้สั่งให้สร้างศาลเจ้า Osaki Hachimangu (大崎八幡宮, Ōsaki Hachimangū) แห่งนี้ในปี ค.ศ. 1607 ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่บูชาเทพ Hachiman ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในศาสนาชินโต ซึ่งเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเมืองนั่นเอง
เราสองคนลงจากรถ Loople Sendai Bus ซึ่งจอดหน้าทางเข้าศาลเจ้าเลยค่ะ ลงรถปุ๊บ มองตรงไป เราจะเห็นประตูโทริอิสีแดงมีรูปนกสองตัว แสดงว่าเราเข้าเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราเดินไปตามทาง ก่อนเข้าประตูสังเกตว่าคนญี่ปุ่นที่ลงจากรถมาด้วยกันโค้งทำความเคารพก่อนเดินผ่านประตูด้วยค่ะ เราก็เลียนแบบเค้าบ้าง ตอนเดินกลับออกมา เค้าก็โค้งทำความเคารพอีกรอบค่ะ คิดว่าเป็นธรรมเนียมของเค้าที่เราก็ควรปฏิบัติตามได้ เนื่องจากเป็นการแสดงความเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรามาเยือนค่ะ ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ตรงกลางของประตูโทริอิเป็นทางเดินของเทพเจ้า เราซึ่งเป็นคนธรรมดาจะต้องเดินเข้าทางขวาของประตูโดยก้าวเท้าซ้ายเป็นเท้าแรกในการเข้าประตูค่ะ ตอนออกก็จะออกทางขวาเป็นกัน ซึ่งเป็นการทำให้การจราจรไม่ติดขัดค่ะ
เดินตามทางเข้าไปเรื่อยๆ ไม่ไกลมากนั ก็จะเห็นมีที่กระบอกไม้ไผ่วางไว้บนบ่อน้ำเพื่อให้เราได้ทำความสะอาดก่อนเข้าไปสักการะเทพเจ้าด้านในค่ะ ก็จะมีกล่องให้บริจาคเงินกันด้วยค่ะ ศาลเจ้านี้ไม่เสียค่าเข้านะคะ ดังนั้น จะอธิษฐานขอพรใด ๆ ก็บริจาคเงินได้ตามกำลังศรัทธาค่ะ แต่ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้เหรียญทองมีรูตรงกลาง (เหรียญ 5 เยน) ในการขอพระค่ะ เพราะคำเรียกเหรียญนี้ในภาษาญี่ปุ่นพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายดี ๆ ค่ะ
ทางเดินเข้าวัดร่มรื่นมากค่ะ สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นแต่พอสุดทางเดินจะถึงตัวอาคารแสงแดดจ้ามากค่ะ คิดหนักกันเลยว่าจะกางร่มดีไหม แต่คนไทยปกติเราจะไม่ใส่หมวกเข้าวัดกัน ก็ไม่กางร่มดีกว่านะคะ มองอยู่ห่าง ๆ พอคนว่างก็ค่อยไปไหว้ค่ะ วิธีการไหว้ก็คือ โยนเหรียญลงไปในกล่อง ตีระฆัง 1 ที โค้งคำนับ 2 ครั้ง ตั้งสมาธิแล้วปรบมือดัง ๆ 2 ที โดยให้มือขวาอยู่ด้านบน เพื่อเรียกเทพเจ้า แล้วจึงพนมมืออธิษฐานขอพร เสร็จแล้วโค้งคำนับอีก 1 ครั้งเป็นอันเสร็จพิธี
ศาลเจ้า Osaki Hachimangu แห่งนี้เพิ่งได้รับการบูรณะใหม่ อาคารหลักของศาลเจ้าแสดงออกถึงสถาปัตยกรรมแห่งยุค Date ได้เป็นอย่างดี อาคารหลักของศาลเจ้าประกอบไปด้วย โถงกลาง หรือ honden หอบูชาหรือ haiden สร้างรวมอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน ซึ่งมีการลงรักปิดทองและลงสีด้วยสีสัสดใส เครื่องราง หรือ omikuji ประจำศาลด้านการปกป้องค้มครองและโชคดี จะมีสีดำซึ่งเป็นสีอันเป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าแห่งนี้
หลังจากไหว้เทพเจ้าขอพรเรียบร้อย เราสองคนก็เดินกลับออกมาทางเดิมค่ะ คุณ Juth ไม่ได้บูชาเครื่องรางจากศาลเจ้าแห่งนี้มาเพราะว่าบูชามาจากที่อื่นเยอะแล้วค่ะ และเราก็ต้องรีบกลับแล้วเพราะจะถึงเวลารถไฟแล้วค่ะ เราสองคนเดินกลับไปรอรถ Loople Sendai Bus เพื่อนั่งกลับไปลงที่สถานีรถไฟ แล้วเดินไปที่โรงแรมค่ะ เพื่อไปเอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้ ต้องบอกว่าเราสองคนโชคดีมากค่ะ ตอนเที่ยวแดดออก ฟ้าใส พอเราเที่ยวเสร็จกำลังจะกลับฝนตกซะงั้น เราต้องรอให้ฝนซาลงเพื่อลากกระเป๋าจากโรงแรมไปสถานีรถไฟค่ะ เราสองคนเปียกเล็กน้อยค่ะ Knot กางร่มให้คุณ Juth ลากกระเป๋า
Time flies when we are happy
เวลาเราเที่ยวสนุกเราจะรู้สึกได้ว่าเวลาหมุนไปเร็วมากแป๊บเดียวหมดวันเที่ยวแล้ว การเดินทางกลับของเราก็เริ่มจากนั่งรถไฟ Shinkansen สาย Yamabiko 214 ออกจาก Sendai บ่ายสอง ถึง Tokyo Station เวลา 16.16 น. ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น แล้วก็จะต่อรถไฟสาย JR Yamanote ไปลงที่สถานีJR Shinjuku เพราะเราจะพักที่โตเกียว 1 คืน ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพไปทำงานกันค่ะ
เนื่องจากเราต้องรอฝนซาทำให้เราไม่มีเวลากินข้าวกลางวันกันค่ะ ก็เลยวิ่งไปซื้อข้าวกล่องกับน้ำชาขึ้นไปกินบนรถไฟค่ะ Knot เลือกข้าวกล่องที่หน้ากล่องเป็นรูปดารุโตะ ซึ่งคนขายบอกว่าเป็นเมนูเด็ดของเซนได พอเปิดกล่องออกมาเป็นข้าวหน้าหอยค่ะ คุณ Juth ทานข้าวหน้าเนื้อเหมือนเดิมค่ะ
Shinjuku, Tokyo
จาก Tokyo Station เราก็ลากกระเป๋าใช้ JR Pass นั่ง JR Yamatone มาลงที่ JR Shinjuku เปิด Google Map พาเราเดินไปโรงแรม ทริปนี้เราพักที่ Hotel Sunroute Plaza Shinjuku ซึ่งเดินจากสถานีรถไฟ JR Shinjuku ไปไม่ไกลค่ะ เดินประมาณ 10 นาทีได้ค่ะ ปกติถ้ามาโตเกียว Knot จะพักที่ Shinjuku Prince Hotel แต่ครั้งนี้ที่เดิมเต็มเลยได้ลองที่นี่ค่ะ โรงแรม Sunroute จะเดินไกลว่าที่เดิมนิดหน่อยค่ะ อยู่คนละฝั่งของสถานี แต่ขนาดห้องใหญ่กว่าที่ Prince และถ้านั่ง Shuttle Bus ไปสนามบินที่นี่จะสะดวกกว่าเยอะค่ะ เพราะรถจอดที่หน้าโรงแรมเลยค่ะ เราสองคนไปถึงโรงแรมเกือบห้าโมงกว่า ๆ ค่ะ Knot เข้าไปเช็คอิน คุณ Juth เล่นกับหุ่นยนต์ต้อนรับของโรงแรมค่ะ เต้นและร้องเพลงได้ด้วยค่ะ น่ารักมาก หลังจากเช็คอินเรียบร้อย เราก็เอาของไปเก็บที่ห้องแล้วออกไปเดินเล่นหาอาหารเย็นทานกันค่ะ
ชินจูกุเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหลายค้ามากมาย ทั้งมือหนึ่งมือสอง Street Fashion, Luxury Brands เครื่องใช้ไฟฟ้าเรียกว่ามีครบค่ะ Knot จะพาคุณ Juth ไปกิน Yakiniku ชื่อดังของย่านนี้ค่ะ เราไปถึงร้านตอนทุ่มเศษๆ แต่เนื่องจากเราไม่ได้จองมาก่อน ก็เลยได้คิวตอนสามทุ่มค่ะ แล้วคนที่มาหลังจากเรา พนักงานไม่รับแล้วค่ะ โชคดีมากๆ เลยค่ะ คิดว่าเป็นเพราะคุณ Juth ส่งภาษาญี่ปุ่นกับเค้าค่ะ เค้าเลยเห็นใจรับเราเป็นลูกค้ารายสุดท้าย เราสองคนก็เลยออกมาเดินเล่นชมเมืองต่อ เดินไปเห็นร้านชานมไข่มุกที่คนต่อคิวยาวมาก Knot เลยเข้าไปซื้อมา 1 แก้ว เป็นชานมไข่มุกเย็นค่ะ อร่อยดี ไม่หวานมาก รองท้องก่อนไปกินปิ้งย่าง
Rokkasen Yakiniku and Shabu
แม้ว่าเค้าจะนัดเรา 3 ทุ่มแต่ 2 ทุ่มเศษ ๆ เราก็เริ่มหิวแล้ว เลยมารอที่ร้านค่ะ ร้านชื่อ Rokkasen อยู่ใกล้ๆ Pepe Building (ตึกที่มี Muji และร้านไดโซะ) หรือ Yodobayashi ค่ะ จาก Yodobayashi เดินข้ามถนนรอดใต้สะพานมาค่ะ จะเห็นป้ายร้านไม่ใหญ่ ร้านอยู่ชั้น 6-7 ด้านล่างของตึกจะดูเล็กๆ แคบๆ ค่ะ เดินเข้าไปจะมีลิฟต์อยู่ด้านในขึ้นลิฟต์ไปชั้น 6 ได้เลยค่ะ ตึกนี้มี Ootoya ด้วยนะคะ
ก่อนขึ้นลิฟต์มีตู้น้ำให้กด คุณ Juth มองเห็นว่าเค้ามี Dr. Pepper ขายด้วยเลยซื้อกินตอนมาจองคิวค่ะ แถว ๆ นั้นจะมีร้านดองกี้อยู่ด้วยค่ะ ระหว่างรอเราก็ไปเดินช้อปปิ้งค่ะ วันนั้นคนในดองกี้เยอะมาก แนะนำว่าหากใครจะซื้อของที่ดองกี้ไม่ว่าจะสาขาใด ๆ ควรขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดก่อนค่ะแล้วจากนั้นค่อย ๆ เดินดูของทีละชั้นลงมาเรื่อย ๆ แล้วมาชำระเงินที่ชั้น 2 ก่อนจะออกที่ชั้นล่างค่ะ จะได้ไม่ต้องถือของเดินขึ้นไปแล้วตอนลงมาถ้าลงลิฟต์ไม่ได้จะได้ถือของเดินลงบันไดไม่ไกลมากค่ะ จากดองกี้เราก็ไปซื้อผลไม้ทานที่หัวมุมตรงแยกร้านขายของมือสองฝั่งตรงข้ามดองกี้ค่ะ แล้วย้อนมาเดินดู Gadget ที่ Yodobayashi ก่อนจะกลับไปที่ร้านตอนสองทุ่มเศษเพราะหิวแล้วค่ะ
เมื่อเราไปถึงที่ร้านบอกพนักงานเค้าก็ให้เรารอไม่กี่นาทีค่ะ ก็ได้เข้าไปนั่งโต๊ะเลย ที่โต๊ะมีจอไว้ให้ดูรูปนะคะ ไม่สามารถสั่งได้ สุดท้ายก็ใช้เมนูและพนักงานรับออเดอร์เหมือนปกติค่ะ เราสั่งไม่เยอะนะคะ เป็น A La Carte จริงๆ ถ้าทานเนื้อกัน สั่งแบบ All You Can Eat จะคุ้มกว่าค่ะ เพราะราคาเนื้อแต่ละจานค่อนข้างสูง แต่เนื้อเค้าคุณภาพดีมากค่ะ
มื้อนี้คุณ Juth สั่งเนื้อวัว 1 จาน ที่เหลือเป็นหมูและเบคอน Knot สั่งหอยเชลล์อบเนยมาย่างกินด้วย มาเป็นถ้วยฟอยล์ค่ะ ย่างแล้วหอมเนย แต่รสชาติสู้ร้านที่เซนไดยังไม่ได้ แต่ราคาร้านนี้สูงกว่าที่เซนไดพอสมควรค่ะ ราคาใกล้เคียงกันแต่เราปริมาณที่ได้น้อยกว่าพอสมควรเลยค่ะ แต่ก็ยังถูกกว่าทานร้าน Tamaruya Honten ร้านโปรดของเราที่อิเซตันค่ะ
หากใครไปโตเกียว Knot แนะนำให้แวะทานปิ้งย่างร้านนี้ดูค่ะ อร่อยมาก แต่ถ้าจะไปแนะนำให้โทรไปจองหรือสแกน QR Code จองล่วงหน้าก่อนนะคะ จะได้ไม่ต้องรอนาน แต่ถ้าไปไม่เยอะคน ไม่ใช่วันหยุด ก็น่าจะมีโต๊ะให้นั่งค่ะ
หลังจากอิ่มแล้วเราก็ออกมาเดินเล่นต่ออีกนิด ร้านต่าง ๆ ในชินจูกุจะปิดค่อนข้างดึกค่ะ ดองกี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง พอเค้าเริ่มปิดกันเราก็เดินย่อยอาหารกลับโรงแรมที่พักค่ะ
Hotel Sunroute Plaza Shinjuku
ห้องที่พักของโรงแรมในโตเกียวขนาดจะเล็กหน่อยค่ะ เรียกว่าพอนอนพักได้ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมีครบ สะอ้านสะอ้านดีค่ะ เป็นโรงแรม 3-4 ดาวค่ะ เนื่องจากเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ทำให้บริษัททัวร์หลายแห่งใช้บริการที่นี่เป็นที่พักค่ะ Knot จองโรงแรมนี้ผ่าน Booking.com เหมือนเดิมค่ะ เราจองมาแบบไม่รวมอาหารเช้าเพราะเราไม่น่าจะตื่นทันเวลาอาหารเช้าของโรงแรมค่ะ
Breakfast at Caffe Veloce
เช้าวันรุ่งขึ้น เราสองคนก็อาบน้ำแต่งตัวเก็บของ แพ็คกระเป๋าลงไปเช็คเอ้าท์ ฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่โรงแรม แล้วออกไปหาอาหารเช้าทานกันค่ะ วันนี้ Knot ใช้บริการของบัตรเครดิต Citi Pretige ที่มีบริการรถรับส่งไปสนามบินในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิคค่ะ Knot ใช้บริการทั้งขามาและขากลับค่ะ เรานัดเค้ามารับตอนบ่ายสอง ดังนั้นช่วงเช้าเราจะไปไหว้พระที่วัดอาซากุสะ ซื้อผลไม้ตามคำสั่งแล้วกลับมาที่โรงแรมเพื่อขึ้นรถไปสนามบินค่ะ
เช้านี้เราเดินออกมาหาอาหารเช้าทานกัน เดินข้ามฝั่งหน้าโรงแรมมาก็จะเห็น Caffe Veloce ค่ะ ลักษณะเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ แบบสะดวกซื้อมีคนญี่ปุ่นเดินเข้าออกเยอะพอสมควรค่ะ ราคาก็ไม่แพงมาก เราเลือกเพราะรูปหน้าร้านเลยค่ะ
อาหารเช้าของคุณ Juth สั่งเป็น Tuna Sandwich และชาเย็น ของ Knot เป็นชุดอาหารเช้าที่มีสลัดมาด้วยค่ะ อร่อยดีทีเดียวค่ะ ในราคา 920 เยนเท่านั้นค่ะ
หลังจากอิ่มแล้วเราสองคนก็เดินไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อซื้อตั๋วรถไฟแบบ One day pass เพื่อไปวัด Asakusa ค่ะ ค่าตั๋วแบบ 1 Day Pass อยู่ที่คนละ 700 เยนค่ะ ถ้าเดินทางมากกว่า 3 เที่ยวหรือเดินทางไกล ๆ หน่อยก็คุ้มแล้วค่ะ ก่อนซื้อสามารถดูราคาค่าโดยสารก่อนได้ค่ะ ซึ่ง Knot คำนวนแล้วเราสองคนเดินทางไปกลับก็จะพอๆ กับการซื้อ Pass ใบนี้ค่ะ ก็เลยซื้อไปเลยเผื่อมีเวลาเหลือจะได้ไปที่อื่นต่อได้ค่ะ
Sensoji Temple – Asakusa Kannon
จาก Shinjuku เราเดินทางมา Asakusa โดยรถไฟใต้ดิน ต้องเปลี่ยนรถไฟ 1 ครั้ง ในโตเกียวถ้าจะนั่งรถไฟใต้ดินเที่ยว Knot แนะนำให้เดินทางในช่วง Off-Peak นะคะ (หลัง 9.00 น.) เพราะถ้าเป็นเวลา Peak Time นี่รถแน่นมากจนต้องใช้ไม้ดันกันเลยค่ะ เราออกเดินทางกันตอนสิบโมงนิด ๆ ค่ะ จากสถานีชินจูกุ เรานั่งรถไฟใต้ดิน Oedo Line หรือสายสีชมพูเข้ม E01 ไปลงที่ที่สถานี E09 หรือ Ueno Okachimachi เพื่อเปลี่ยนเป็น Ginza Line หรือสายสีส้มที่สถานี G15 หรือสถานี Ueno-Hirokoji จากสถานีนี้เรานั่งไปส่งที่สุดสายได้เลยคือ G19 สถานี Asakusa หรือถ้ามี JR Pass จะนั่ง JR Chuo Line ไปลงที่สถานี Kanda Station แล้วเปลี่ยนเป็น Ginza Line เพื่อไป Asakusa ก็ได้ค่ะ
จากสถานี Asakuza ของ Ginza line เดินออกมาตามทางข้ามถนนก็จะเจอ Kaminarimon หรือ Thunder Gate สัญลักษณ์สำคัญที่ใครมาโตเกียวก็ต้องมาถ่ายภาพตรงจุดนี้กันค่ะ วัด Asakusa หรือ Sensoji Temple แห่งนี้เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเราเดินผ่านประตูทางเข้านี้เข้าไป เราจะเจอถนนช้อปปิ้ง Nakamise ซึ่งมีของที่ระลึก ของเล่นขายเยอะแยะมากมายค่ะ คุณ Juth ซื้อกบ Kero-Kichi มาด้วยค่ะ น่ารักมาก เป็นตุ๊กตากบนักเดินทาง
ก่อนจะถึงตัวอาคารหลักของวัด เราจะเห็น Hozomon Gate และ Pagoda 5 ชั้น ตั้งตระหง่านอยู่ค่ะ ศาลเจ้า Asakusa ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1649 โดยท่านโชกุน Tokugawa Iemitsu ตั้งอยู่ทางซ้ายของตัวอาคารหลักของวัด Sensoji ไม่ไกลนัก เราสองคนก็เข้าไปไหว้องค์เจ้าแม่กวนอิม หรือที่ญี่ปุ่นเรียกกันว่าองค์ Kannon เทพีแห่งความเมตตา Sensoji Temple หรือ Asakusa Kannon แห่งนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโตเกียวค่ะ
ไหว้เจ้าแม่กวนอิมเสร็จ คุณ Juth ก็ไม่พลาดที่จะแวะบูชาเครื่องรางสำหรับโชคดีและเงินไหลมาเทมามาบูชาค่ะ ขากลับเราเดินด้านซ้ายของทางเดินหลัก เพราะคนเดินกันแน่นไปหมดค่ะ เห็นร้านขายผลไม้ Knot เลยแวะซื้อสตอเบอรี่และกีวี่มาลองชิมดูค่ะ
Japanese Fruit Shop
Misson สุดท้ายก่อนกลับบ้านก็คือซื้อพีชและองุ่นญี่ปุ่นกับไปฝากที่บ้านค่ะ ตามคำสั่งซื้อของคุณพ่อค่ะ เราเดินข้ามถนนมาด้านหน้าวัด Asakusa จะมีร้านขายผลไม้อยู่ค่ะ ราคาไม่แพงถ้าเทียบกับราคาใน Tops ค่ะ แต่เราเหลือเงินสดอยู่ไม่มาก ก็เทหมดกระเป๋าเลยค่ะ เพราะคุณป้าไม่รับบัตรเครดิต ต้องบอกว่าเราซื้อไม่เยอะนะคะ ประมาณ 5000 เยน บอกคุณป้าว่าเราจะถือขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย คุณป้าแพ็คผลไม้ให้ดีมากๆ ค่ะ ถึงบ้านแกะออกมาไม่มีช้ำเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่ พีชและองุ่นช้ำง่ายมาก
Wendy’s – Our Lunch
หลังจากซื้อผลไม้เสร็จ คุณ Juth ช่วยถือผลไม้ที่คุณป้าแพ็คใส่กล่องให้เรา แล้วเราเอาใส่กระเป๋า Uniqlo ที่เราเอาไปด้วยเพื่อให้ถือง่ายขึ้น นั่งรถไฟใต้ดินย้อนกลับมาที่ Shinjuku เพื่อรับประทานอาหารกลางวันและรอรถมารับไปสนามบินค่ะ Knot และคุณ Juth เลือก Wendy’s ค่ะ เราเดินผ่านร้านเค้ามาหลายรอบมาก เราเคยมี Wendy’s ในประเทศไทยนะคะ แต่ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด ปัจจุบันเราไม่มี Wendy’s แล้วค่ะ
Wendy’s เป็นร้านอาหาร Fastfood ของอเมริกา ก่อตั้งโดย Dave Thomas เน้นการใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ ไม่ใช้ของแช่แข็งในการให้บริการลูกค้าค่ะ ราคาแฮมเบอเกอร์ของ Wendy’s ถ้าเทียบกับ McDonald จะแพงกว่าเล็กน้อย ถ้าเทียบกับ Burger King ก็จะถูกกว่าเล็กน้อยเช่นกันค่ะ ที่ญี่ปุ่น เราจะเห็น Wendy’s ได้ค่อนข้างเยอะค่ะ จำนวนสาขาใกล้เคียงกับ Mcdonald เลยค่ะ
หลังจากกินเสร็จเรียบร้อย ก็ใกล้ถึงเวลาที่รถจะมารับเราไปสนามบินแล้วค่ะ ขากลับนี้ Knot ใช้บริการของ Citi Prestige Airport Transfer Services ค่ะ เมื่อเราไปถึงโรงแรมก็เข้าไปติดต่อรับกระเป๋าที่เราฝากไว้ เจ้าหน้าที่ก็นำมาให้ แต่ที่ล็อบบี้คนเยอะมาก จนไม่มีที่ให้เรานั่งเลยค่ะ เราสองคนเลยไปนั่งที่หน้าร้านอาหารค่ะ เป็นเก้าอี้ที่เค้าจัดไว้ให้แขกมานั่งรอ ขามาเรามา 2 กระเป๋าค่ะ ขากลับเรากลับ 3 กระเป๋า ส่วนที่เพิ่มมาคือกระเป๋าผลไม้ค่ะ ทริปนี้ Knot และคุณ Juth ไม่ได้ซื้อของกันมากนักค่ะ เพราะเรามีแผนที่จะมาเที่ยวโตเกียวกันอีกครั้งในอีกไม่นานค่ะ
เมื่อถึงเวลานัด คนขับรถก็ส่งข้อความมาว่ามาถึงแล้ว เราก็ลากกระเป๋าออกไปหน้าโรงแรม ขึ้นรถ ไปเช็คอินที่สนามบิน และเดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ซึ่งคุณ Juth ได้พาน้อง Kero-Kichi ขึ้นเครื่องไปด้วยค่ะ สุดท้ายนี้ Knot ฝากกดไลค์ กดแชร์ Facebook และ IG ของ Trips in My Memory กด Supscribe และกดกระดิ่ง YouTube Channel ของ Trips in My Memory หรือจะ Bookmark website: www.tripsinmymemory.com ไว้ ทุกท่านจะได้ไม่พลาดเรื่องราวใหม่ ๆ ในความทรงจำของ Knot ค่ะ หากท่านใดอยากให้ Knot เล่าเรื่องราวจากการไปเที่ยวที่ไหน หรือช้อปปิ้งอะไร บอกกันมาได้นะคะ ถ้า Knot เคยไปมาแล้วจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ