สวัสดีค่ะทุกท่านโพสต์นี้ Knot จะพาทุกท่านไปเที่ยวเมืองเล็ก ๆ ของอังกฤษที่หลายท่านอาจเคยผ่านตอนเดินทางไป Stonehenge แต่อาจจะไม่ได้แวะเที่ยวชมกันค่ะ Salisbury อ่านว่า ซาลส-บู-รี่ (Sal-(i)sbury) ตัวไอไม่ออกเสียงโดนรวบคำไม่อ่านตรงตามตัวสะกดคะ เมืองนี้เป็นเมืองที่ Knot ชอบมากเพราะมีขนาดเล็ก เงียบสงบ และยังมีของโปรดคือ Cream tea ที่ประกอบไปด้วย Scone, Clotted Cream และ Jam ที่อร่อยมาก Salisbury ตั้งอยู่ไม่ไกลจากลอนดอนมากนัก ขับรถจากสนามบิน Heathrow โดยมอเตอร์เวย์สาย M3 มาทางใต้ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงค่ะ หรือหากมาจาก Bath ก็ใช้เส้นทาง A36 มาผ่าน Stonehenge แล้วจะถึง Salisbury ใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงเศษค่ะ ถ้าเดินทางโดยรถไฟสามารถออกเดินทางจากสถานี London Waterloo หรือ Bath มายัง Salisbury เพื่อต่อรถ Bus ไป Stonehenge ได้เช่นกัน
The City of Salisbury
Salisbury ได้ชื่อว่าเป็นเมือง Cathedral เนื่องจากเป็นที่ตั้งของ Cathedral เก่าแก่ตั้งแต่ยุคกลาง เมืองนี้ตั้งอยู่ในเขต Wiltshire ทางตอนใต้ของอังกฤษ ห่างจาก Stonehenge ประมาณ 9 ไมล์เท่านั้น บริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าที่เขียว นอกจาก Cathedral แล้ว นอกเมืองไปไม่ไกลก็จะมีซากเมืองโบราณยุคเหล็ก หรือที่เรียกกันว่า Iron Age Hill fort of Old Sarum ให้ได้ศึกษากันอีกด้วย แต่ทริปนี้ Knot มาถึงที่ Salisbury ตอนบ่ายแล้ว ก็จะเที่ยวแค่ในเมืองเท่านั้นค่ะ แล้วจะไป Stonehenge ก่อนที่จะไปพักที่ Bath กันค่ะ
Salisbury Cathedral
Salisbury Cathedral สร้างขึ้นในศตวรรตที่ 13 โดยยอด หรือ Spire ของ Cathedral แห่งนี้มีความสูงถึง 123 เมตร สูงที่สุดในอังกฤษ สูง 55 เมตรจากหอคอย และมีความสูงเป็นลำดับที่สองรองจาก Strasbourg Cathedral ซึ่งสูง 142 เมตร และยังมีนาฬิกาในยุคศตวรรษที่ 14 ที่ยังเดินอยู่ให้เราได้ดูกันด้วย นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีต้นฉบับของ Magna Carta หรือที่เรียกกันว่า “มหากฎบัตรใหญ่แห่งอิสรภาพ” ซึ่งเป็นกฎบัตรที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1215 ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ทำให้เกิดเสรีภาพและความเท่าเทียมกันในสังคม โดยถือกันว่ามหากฎบัตรนี้มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่มีต่อประวัติศาสตร์ศาสตร์อันยาวนานของกระบวนการที่นำมาซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญในปัจจุบันอีกด้วย
เราขับรถเข้าไปจอดที่ที่จอดรถของ Cathedral เลยค่ะ ขับผ่านป้อม คุณลุงประจำป้อมก็จะเก็บเงินค่าที่จอดรถ พร้อมกับให้ Voucher ใบนี้กับเราค่ะ เป็นคูปองรับชา 1 กา หรือ กาแฟ 1 แก้วฟรี และอีกใบใช้เป็นส่วนลด 10% ในการซื้อของที่ระลึกค่ะ ก่อนหน้านี้ เราสามารถนำรถมาจอดที่ลานจอดรถด้โดยไม่ต้องจ่ายค่าที่จอดรถนะคะ ลานจอดรถก็จะเต็มและจอดกันนานมากค่ะ หาที่จอดยากมาก พอเก็บเงินก็ไม่แพงนะคะ ประมาณ 10 ปอนด์ จอดกันยาวๆ ไป โบสถ์ที่นี่ไม่มีค่าเข้าชมนะคะ แต่จะเป็นแนะนำให้บริจาคเงินค่ะ
การจัดการและการดูแล Salisbury Cathedral ทั้งหมดดำเนินการโดย Trust ที่ชื่อว่า Friends of Salisbury Cathedral ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงวัยอาสาสมัครมาช่วยกันทำงานค่ะ
เดินจากลานจอดรถตามทางเดินผ่านสนามหญ้า เราจะเห็นความอลังการณ์ของ Salisbury Cathedral ที่มียอดแหลมสูง Cathedral เป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกค่ะ ถ้าเป็น นิกาย Anglican จะเรียกว่า Abbey เช่น Bath Abbey ค่ะ ตัวโบสถ์ก่อสร้างด้วยหินปูนสีเหลือง หรือ Yellow Stones ที่ยอดจะมีเครื่องโลหะประดับเพื่อใช้เป็นสายล่อฟ้า หากสนใจและมีเวลา ที่นี่เค้ามีทัวร์พาเราชมหอคอยด้วยนะคะ สามารถสำรองที่ได้ทางหน้า เว็บไซต์ของ Salisbury Cathedral แนะนำให้สำรองก่อนไปนะคะ
หากสังเกตเราจะเห็นความโค้งมนของหน้าต่างแต่ละชั้น หลังคาเป็นโลหะเนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้มีซากอารยธรรมของหมู่บ้านในยุคเหล็กให้เห็นอยู่ด้วย เมื่อเราเดินไปถึงทางเข้า เราได้พบว่าวันนี้มีงานแต่งที่ Cathedral ค่ะ ถ้ามาเร็วกว่านี้เราจะไม่ได้เข้าข้างในกันค่ะ เพราะเค้าใช้ทำพิธี เราเลยได้เก็บภาพสวยๆ ของบ่าวสาวและเพื่อนเจ้าบ่าวเพื่อนเจ้าสาวมาให้ดูบรรยากาศกันค่ะ รถบ่าวสาวสวยมากค่ะ
The Interior of Salisbury Cathedral
พอเข้ามาด้านในมองเพดาน เราจะเห็นความอลังการณ์ของโครงสร้างของตัวอาคาร และการเปิดให้แสงธรรมชาติเข้ามาด้านใน เรียกว่าสวยงามมากค่ะ เดินไปจนสุดทางเราจะเห็นตู้กระจกแสดงโมเดลการก่อสร้าง Salisbury Cathedral รวมถึงบอกเล่าประวัติความเป็นมาของโบสถ์แห่งนี้ด้วยค่ะ
โมเดลในตู้กระจกบอกเล่าให้เราได้รู้ว่าโครงสร้างหลักของตัวโบสถ์ทั้งหมดเป็นไม้และหินปูนคนโบราณในเครื่องมือเช่นเชือกและรอกในการเคลื่อนย้ายหินและวัสดุต่างๆ อีกอย่างคือสมัยนั้นไม่มีตะปูนะคะ ทุกอย่างยึดกันด้วยการขัด สลัก และลิ่มค่ะ
ในยุคนั้น ต้องบอกว่าที่นี่ก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในยุคและช่างฝีมือที่เก่งกาจมากที่เดียวจึงทำให้ตัวอาคารยังอยู่มาจนให้เราได้เห็นกันในปัจจุบัน แม้ว่าจะได้รับการบูรณะมาหลายรอบตลอดหลายร้อยปี แต่ตัวอาคารและสถาปัตยกรรมนั้นยังคงเป็นแบบยุคกลางให้เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์แห่งยุคนั้นได้อย่างเต็มที่
นอกจากตัวอาคารที่เก่าแก่แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่เก่าแก่มากเช่นกันก็คือ นาฬิกา ประจำ Cathedral แห่งนี้ ซึ่งเป็นนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังเดินอยู่ค่ะ เค้าก็จำลองกลไกของนาฬิกาตัวนี้มาให้เราได้ชมกันง่าย ๆ กันเลยค่ะ
อย่างที่บอกนะคะ ที่นี่ดำเนินงานโดยคนในชุมชน ก็จะมีไกด์อาสาสมัครมาพานักท่องเที่ยวเดินชมจุดต่างๆ ภายในโบสถ์พร้อมเล่าเรื่องราวความสำคัญของส่วนต่างๆ ให้เราฟังค่ะ จุดหนึ่งที่น่าสนใจที่คุณลุงไกด์ของเราเล่าให้ฟังก็คือ การออกแบบ ยอด Spire ของตังโบสถ์เพื่อให้เป็นจุดศูนย์กลาง ในสมัยโบราณเค้าไม่มีไม้บรรทัด หรือไม้โปรที่เราใช้กันนะคะ แต่คนออกแบบเค้าใช้หินค่ะ มีการกำหนดจุดวงกลมเป็นจุดศูนย์กลางและตัดหินเฉียงเพื่อกำหนดทิศของยอด Spire แต่ก็จะไม่แม่นยำนัก ซึ่งในปัจจุบัน ยอด Spire ของโบสถ์แห่งนี้ไม่ได้ตรงกับจุดวงกลมนี้ แต่เคลื่อนไปเล็กน้อย เนื่องจากการบูรณะหลังแผ่นดินไหว ในยุคที่มีเครื่องมือที่ละเอียดกว่า เมื่อนำมาใช้จึงทำให้ยอด Spire ไม่ตรงกับจุดที่กำหนดไว้ในตอนแรกค่ะ
หากเราเดินรอบโถง ก็จะเห็นว่าพื้นและผนังเกือบทุกจุด จะเป็นป้ายชื่อและวันเดือนปีและคำไว้อาลัย นั่นคือ หลุมศพของบุคคลสำคัญในอดีตที่นำมาฝังไว้ภายในโบสถ์แห่งนี้ตามประเพณีโบราณค่ะ นอกจากนี้ ก็จะมี Chapel หลายจุด ซึ่งเป็นจุดภาวนา หรือเคารพเซนต์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเจ้าของ Chapel นั้นๆ ค่ะ
ที่นี่จะมีกระดาษให้เราเขียนขอพรได้ด้วยค่ะ สามารถเขียนอะไรก็ได้ที่เราอยากได้ เท่าที่ Knot เห็นก็จะมีบางคนขอให้โลกสงบสุข ขอให้พระเจ้าอวยพรค่ะ Knot เลือกที่จะจุดเทียนอธิษฐานค่ะ บริจาคเงินตามที่เขียนไว้ลงในกล่องรับบริจาค หยิบเทียนขึ้นมาจุด ระหว่างจุดก็อธิษฐานขอพรที่ต้องการค่ะ Knot ขอให้เจอแต่คนดี ๆ สิ่งดีๆ ขอให้การเดินทางครั้งนี้สนุกสนาน ราบรื่น ไม่มีอุบัติเหตุค่ะ
The Great Charter Magna Carta
The Great Chater Magna Carta หรือ มหากฎบัตรแม็กนา คาร์ต้า เกิดขึ้นเนื่องจากข้อขัดแย้งระหว่างพระสันตปาปา พระเจ้าจอห์น และคณะขุนนางอังกฤษของพระองค์เกี่ยวกับสิทธิของพระมหากษัตริย์ มหากฎบัตรบังคับให้พระมหากษัตริย์ทรงสละสิทธิ์บางอย่าง และยอมรับกระบวนการทางกฎหมายบางอย่าง และยังให้ยอมรับว่าพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
มีความเข้าใจผิดที่แพร่หลายหลายประการเกี่ยวกับมหากฎบัตรนี้ เช่นว่า เป็นเอกสารชิ้นแรกสุดที่จำกัดสิทธิของพระมหากษัตริย์โดยกฎหมายบ้าง (ความจริงไม่ใช่กฎบัตรแรกที่จำกัดสิทธิกษัตริย์และมหากฎบัตรนี้ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากกฎบัตรแห่งอิสรภาพ) และในแง่ปฏิบัติ พระมหากษัตริย์ถูกจำกัดสิทธิบ้าง เป็นเอกสารที่ตายตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง
มหากฎบัตรนี้ ได้รับการปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอดยุคมืด และแก้ไขต่อในสมัยราชวงศ์ทิวดอร์ (House of Tudor) และราชวงศ์สจวต (House of Stewart) และต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 ล่วงมาถึงช่วงแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 มาตราต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมในกฎหมายอังกฤษถูกยกเลิกหรือได้รับการปรับปรุงไปเกือบหมด
อิทธิพลของมหากฎบัตรนี้นอกประเทศอังกฤษจะเห็นได้ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาและในกฎหมายว่าด้วยสิทธิต่าง ๆ นอกจากนี้ ประเทศต่าง ๆ ที่ใช้กฎหมายจารีตแต่มีรัฐธรรมนูญจะมีอิทธิพลของมหากฎบัตรฉบับนี้อยู่ ทำให้มหากฎบัตรกลายเป็นเอกสารทางกฎหมายที่มีความสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งประชาธิปไตย
เนื้อหาหลักในมหากฎบัตร กล่าวถึง สิทธิในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายของเสรีชน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในชนชั้นหรือวรรณะใดก็ตาม และพระเจ้าแผ่นดินจะต้องมอบสิทธินี้ให้กับขุนนางหรือผู้ครอบครองที่ดิน (Vassal) และขุนนางนั้นจะต้องมอบสิทธิให้กับพลเมืองหรือไพร่ในสังกัด โดยพลเมืองทุกคนจะไม่ถูกกดขี่ พ่อค้าและชาวนาไม่จำเป็นต้องมอบสินค้าบางส่วนหรือผลิตผลทางเกษตรให้กับขุนนางหรือพระเจ้าแผ่น เพื่อเป็นค่าคุ้มครอง ดังเนื้อความในส่วนหนึ่งของมหากฎบัตร ที่กล่าวว่า “จะไม่มีบุคคลที่ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว โดยปราศจากอิสรภาพ หรือถูกยึด ขู่กรรโชก ทรัพย์สินโดยปราศจากคำตัดสินของศาล” นอกจากนี้มีในมหากฎบัตรยังได้กล่าวถึงการเรียกเก็บภาษีของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินจะทรงเรียกเก็บภาษีตามพระราชหฤทัย โดยไม่ผ่านการเห็นชอบจากสภาบริหารราชการแผ่นดิน (The Great Council of the Nation) มิได้
Magna Carta ฉบับที่เก็บไว้ที่ Salisbury Cathedral เป็นหนึ่งในสี่ฉบับจริงที่ยังอยู่รอดมาให้เราได้เห็นกันในปัจจุบัน
It’s a Tea Time
เมื่อเดินรอบโบสถ์แล้ว ก็จะเหมื่อยนิดนึงค่ะ ถึงเวลาหาอะไรใส่ท้องกันนิดนึง เราก็เดินไปที่ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกตรงทางออกค่ะ หาชาร้อนและ Cream tea ทานกันค่ะ
ของที่ระลึกในโบสถ์ก็จะเป็นหนังสือ Tea Towel พวงกุญแจ ประคำ ไปรษณียบัตรต่าง ๆ ค่ะ และที่คุณ Juth ไม่พลาดก็คือปั๊มเหรียญที่ระลึกค่ะ วิธีการ คือ ใช้เหรียญ เพนนี 1 เหรียญและเหรียญปอนด์ 1 เหรียญ ก่อนหยอดเหรียญลงไปต้องหมุนเลือกลายที่ต้องการก่อนนะคะ แล้วหยอดลงไปในช่องที่กำหนด หมุนเครื่องให้ทับเหรียญเพนนีที่เราหยดลงไปค่ะ ก็จะได้เหรียญที่ระลึกจากเหรียญเพนนีที่เราหยอดนั่นเองค่ะ เครื่องนี้ชื่อว่า Penny Press
สมัยก่อนตอน Knot มาเรียนแรก ๆ สถานที่ท่องเที่ยวมักจะมีเครื่องแบบนี้ตั้งไว้ให้นักท่องเที่ยวหมุนเล่นกันค่ะ แต่ตอนนี้ เครื่องนี้หายากขึ้น และถูกแทนทีด้วยเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติที่จะเมื่อหยอดเหรียญลงไป เลือกแบบที่ต้องการก็จะได้เหรียญนั้นมาเลยไม่ต้องหมุนทับเหรียญเพนนีอีก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคนไม่ค่อยพกเงินสดกันแล้ว และเหรียญก็เริ่มหายากขึ้นค่ะ
Walk around the City
เราเดินออกจากโบสถ์มาเดินเล่นในเมืองกันหน่อย ภายในเมืองจะเห็นอาคารบ้านเรือนแถวนี้สร้างด้วยอิฐสีแดงแตกต่างจากตัวโบสถ์อย่างชัดเจน เดินจากโบสถ์ตรงมาเรื่อยๆ ก็จะเข้าเมืองแล้วค่ะ ไม่ไกลมาก
Knot กับคุณ Juth เดินเล่นในเมือง แวะ Mark and Spenser กันแป๊บนึงหาขนมเพื่อในทานกันในรถและเข้าห้องน้ำกันก่อนออกเดินทางไป Stonehenge เพื่อไปซื้อแยม Lemon Curd ค่ะ ขอบอกว่าเป็นแยมที่อร่อยมาก หากมีโอกาสได้แวะมาหรือผ่าน Stonehenge ไม่ควรพลาดค่ะ ครั้งนี้เรามากันเย็นมากแล้ว Knot ก็เหมือนหลอกคุณ Juth มาซื้อแยมกันเลยค่ะ คือ แวะเข้าไปใน Tourist Information Centre ของ Stonehenge เสียค่าที่จอดรถไป 5 ปอนด์ เดินไปดูหมู่บ้านจำลองของคนโบราณแป๊บนึง แวะซื้อของที่ระลึกและแยมในร้านขายของที่ระลึก ก็กลับออกมาเพื่อขับรถต่อไป Bath กันค่ะ
Knot ก็ขอจบโพสต์ Salisbury Cathedral ไว้ตรงนี้นะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันค่ะ หากมีใครสนใจตามไปเที่ยวสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ จะพยายามตอบอย่างสุดความสามารถค่ะ หากชื่นชอบอย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดติดดาว เพจ, IG และ YouTube: @TripsinMyMemory ด้วยนะคะ แล้วเจอกันใหม่โพสต์ต่อไปค่ะ