สวัสดีค่ะทุกคน โพสต์นี้ Knot จะมาแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางตลอดทริปนี้ให้ทุกคนทราบกันนะคะ ทริปนี้ Knot ไปกับคุณ Juth สองคนเดินทางโดยสายการบินไทย ซื้อตั๋วในงานที่ Siam Paragon ค่ะ ราคาที่ได้มาก็ไม่ได้ถูกกว่าสำรองผ่านเว็บไซต์การบินไทยมากนัก แต่ที่ได้คือโปรโมชั่นเป็น Cash Back ของบัตรเครดิตค่ะ ราคาที่ไม่ถูกมากเพราะเราเดินทางในช่วงวันหยุดรัฐธรรมนูญ 8-13 ธันวาคม เป็นทริปสั้น ๆ เนื่องจากคุณ Juth ลางานได้เท่านี้ค่ะ

การเตรียมตัวก่อนเดินทาง

เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินเรียบร้อย Knot ก็ทำการจองบริการ Meet and Assist สำหรับผู้ถือบัตร Citibank ROP Preferred (ไม่จำกัดจำนวน) จองรถลีมูซีนรับส่งสนามบินที่มาพร้อมบัตรอีกเช่นกัน (ฟรี 2 ครั้งต่อปี 50% 2 ครั้งต่อปี) รถลีมูซีนนี่ถ้าใช้บริการเกินกำหนดแล้ว แนะนำให้เรียก Grab Taxi ค่ะ ให้มารับตรง Departure จะขึ้นลงรถสะดวกและราคาถูกกว่ารถลีมูซีนลด 50% เล็กน้อยค่ะ เมื่อใกล้วันเดินทางก็จะเริ่มเช็คสภาพอากาศเพื่อจะได้เลือกจัดเสื้อผ้า รองเท้าให้เหมาะสมค่ะ อุณหภูมิช่วงต้นเดือนธันวาคม จะอยู่ที่ประมาณสิบกว่าองศา ไม่ถึงยี่สิบ หากมีลมและฝนจะรู้สึกหนาวนิดนึง เสื้อผ้าที่เตรียมไปก็จะเป็น Trent Coats และ Light Coat ที่ไม่หนามากแต่กันน้ำได้และน้ำหนักเบา เพราะจะมีวันที่ฝนตกด้วยค่ะ จากนั้นก็เตรียม Heat Tech ให้ครบทุกวันทั้งเสื้อและกางเกง เนื่องจาก Knot เป็นคนชอบอากาศเย็นก็จะไม่หนาวมากนัก แต่คุณ Juth จะขี้หนาวมากเลยเตรียมผ้าพันคอและถุงมือไปด้วยค่ะ สุดท้ายถุงมือที่เตรียมไปให้คุณ Juth ไม่พอค่ะ ได้ซื้อใหม่ 1 คู่ที่ Uniqlo เสื้อผ้าอื่น ๆ ก็เตรียมไปเล็กน้อย เพราะเราตั้งใจจะซื้อเสื้อผ้ากลับอยู่แล้วค่ะ ที่สำคัญคือต้องเตรียมยาแก้แพ้ ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสียไปให้ครบค่ะ ซื้อยาที่ญี่ปุ่นลำบากพอ ๆ กับซื้อที่อังกฤษค่ะ ต้องมีใบสั่งแพทย์ หรือ Prescription ค่ะ เมื่อคิดว่าจะซื้อของ ก็ต้องเตรียมกระเป๋าเพื่อไปคลอดลูกตอนขากลับค่ะ Knot เตรียม Longchamp ไซส์ L ที่ขยายออกเป็น XXL ได้ไป 1 ใบ คุณ Juth เตรียมกระเป๋าผ้าไป 1 ไป และกระเป๋าพับได้ไปอีก 1 ใบ ขอบอกว่าได้ใช้หมดทุกใบค่ะ

อีกอย่างก็คือเราทำการเช็คอินออนไลน์ผ่านเว็บไซต์การบินไทยมาก่อนเพื่อเลือกที่นั่ง บริการ Meet and Assist จะนัดให้เราที่แถว C ทำการเช็คอินตรงนี้ก็ได้ แต่ที่นั่งอาจจะได้ที่ไม่ชอบค่ะ แล้วพนักงานจะพาเราไปเดินเข้าช่องเดียวกับ Business และ First Class ค่ะ เรียกว่าไม่มีคิวค่ะ รวดเร็วมาก และหากเราจะไปใช้บริการ Lounge ตามสิทธิ์ของบัตรเครดิตหรือบัตรสมาชิก พนักงานก็จะพาเราไปส่งที่ Lounge ค่ะ หากไม่ไป เค้าก็จะแยกจากเราเมื่อเราเข้าด้านในแล้วค่ะ

วันเดินทาง

เรามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลาสามชั่วโมงเล็กน้อย ไปที่เคาท์เตอร์แถว C โหลดกระเป๋าติดแท็กต่าง ๆ เรียบร้อย พนักงานก็พาเดินเข้าด้านในค่ะ

เดินตามผู้นำทาง

เราเข้าไปด้านในวันนี้เราไม่ได้ใช้บริการ Lounge แต่ไปแลกเงินที่เคาน์เตอร์แลกเงินของธนาคารไทยพาณิชย์แทน โดยที่ไม่ทราบว่ามีโปรโมชันใดๆ แค่ลืมแลกเงิน และขี้เกียจเดินลงไป Superrich ค่ะ พนักงานสอบถามและอธิบายโปรฯ ละเอียดมาก คือ แลกเงินด้วยบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ ไม่มีค่าธรรมเนียมและผ่อน 0% 3 เดือน แถมได้เงินคืนอีกนิดหน่อยด้วยค่ะ เราใจง่ายค่ะ หยิบบัตรเครดิต SCB Beyond ของคุณ Juth ส่งให้พนักงานเลยทันที แลก 10,000 บาท ค่ะ เพราะเรามีเงินเยนที่เหลือมาจากทริปก่อนหน้านี้อยู่บ้างค่ะ พนักงานเอาเงินสดที่แลกได้ใส่ซองพลาสติกให้เป็นอย่างดี ยังเก็บไว้ใช้อยู่เลยค่ะ

Juth.Net x Trips in My Memory
SCB exchange counter @ Suwannabhumi Airport

Thai Airways – Smooth as Silk

การเดินทางของ Knot ส่วนใหญ่ถ้าเลือกได้ จะเลือกใบบริการสายการบิน Thai Airways ด้วยสาเหตุง่าย ๆ ถ้าบินสายการบินอื่นจะไม่สามารถใช้บริการพิเศษของบัตรเครดิตได้ ตอนเป็นนักเรียน เลือกใช้บริการของ Singapore Airline ไปกลับ London-Bangkok เพราะชอบ Transit ที่สิงคโปร์ ซื้อหูฟังและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกสต่าง ๆ บ้าง แต่หลัง ๆ ราคาไม่ได้แตกต่างกันมาก ซื้อในห้างบ้านเราก็พอ ๆ กันหรือถูกกว่าด้วยค่ะ ก็จะเลือกบินตรงและใช้บริการการบินไทยค่ะ เราบินไฟล์ท TG672 BKK-KIX ออกจากสุวรรณภูมิเวลา 8.25 น. เคาเตอร์เปิดให้เช็คอินประมาณ ตีห้านิด ๆ แต่ด้วยบริการพิเศษของ Meet & Assist เรามาถึงสนามบินประมาณ 7 โมงเช้าค่ะ เวลาก็ยังเหลือๆ เครื่องลงจอดที่สนามบิน Kansai International Airport เวลาประมาณ 15.35 น ของประเทศญี่ปุ่นนะคะ

อาหารร้อน Omelets

ไฟล์ทญี่ปุ่นบินประมาณ 6 ชั่วโมงค่ะ การบินไทยจะบริการอาหารร้อน 1 ครั้งเป็นอาหารเช้าของเราค่ะ เสิร์ฟหลังจากเครื่องขึ้นไปประมาณ 1 ชั่วโมง ไฟล์ทนี้มีให้เลือกสองตัวเลือกสำหรับ Economy Class คือ ไข่เจียว หรือ Omelets และข้าวไก่ทอด ซึ่งแอร์ถามทุกคนว่า Omelets or Chicken เรามากันสองคน ก็เลือกคนละอย่างค่ะ ง่าย ๆ และคุณ Juth ก็จัดการไข่เจียวไปค่ะ มันฝรั่งอร่อยนะคะ ข้าวไก่ทอดก็รสชาติดีค่ะ ข้าวเป็นข้าวญี่ปุ่นค่ะ เสิร์ฟพร้อมผลไม้ โยเกิร์ต ครัวซองค์คือดีงามที่สุดค่ะ

อาหารร้อน ข้าวไก่ทอดราดซอส

เสิร์ฟอาหารร้อนเสร็จ ก็มีการหรี่ไฟบนเครื่องให้ได้พักสายตากันค่ะ ก่อนเครื่องลงประมาณ 2 ชั่วโมง แอร์ก็มาเสิร์ฟของว่างอีกครั้งค่ะ ตลอดไฟล์ทเราสามารถขอเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวจากแอร์ได้นะคะ เดินไปที่ท้ายเครื่องเพื่อขอน้ำ-ขนมได้ค่ะ หลังจากเสิร์ฟของว่างแล้วแอร์ก็มาพร้อมกระดาษ Arrival Cards และ Custom Declaration

อาหารว่างก่อนเครื่องลงจอด ผัดสปาเก็ตตี้หมี่ขาว

Arrival card ใช้คนละ 1 ใบ ของใครของมันนะคะ กรอกและเซ็นต์ชื่อให้เรียบร้อย อย่าลืมกรอกจำนวนเงินสดที่มีติดตัวมาด้วยนะคะ ถ้าไม่กรอกอาจจะโดนถามได้ ส่วน Custom Declaration ใช้ครอบครัวละ 1 ใบค่ะ ไม่ต้องกรอกทุกคนค่ะ เราเดินเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองพร้อมยื่นใบ Arrival Card ให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งเค้าจะให้เราสแกนลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้วเลยนะคะ ที่หน้าจอจะมีคำสั่งเป็นภาษาไทยให้เราอ่านด้วยค่ะ หลังจากผ่านดานแล้ว เราก็เดินลงไปรับกระเป๋า เข้าห้องน้ำ เปิดประเป๋าเอาเสื้อโค้ทหรือแจ็คเก็ตมาใส่พร้อมถุงมือค่ะ ปิดกระเป๋าเรียบร้อย พร้อมรับอากาศเย็น ๆ ตอนเดินทางเข้าเมือง แล้วเราก็เดินออกทางช่องสีเขียวพร้อมยื่นใบ Custom Declaration ให้เจ้าหน้าที่ก่อนเดินออกไปด้านนอกค่ะ 1 ครอบครัว 1 ใบค่ะ

เอกสารตรวจคนเข้าเมือง

Tourist Information

เนื่องจากทริปนี้เรามากันแบบไม่ได้วางแผนกันมากนัก ด้วยความเคยชิน Knot วางแผนมาแค่จองที่พักและตั๋วเครื่องบินค่ะ นอกนั้นมาหาเอาข้างหน้า เพราะทราบว่าคุณป้าที่ Tourist Information ที่นี่น่ารักมาก Very Helpful และ Service mind นี่สุดยอดมากค่ะ เดินออกประตูมาอย่างแรกที่ทำคือเดินเลี้ยวซ้ายมองหาป้าย Tourist Information เพื่อสอบถามสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่น่าสนใจและการเดินทางต่าง ๆ ค่ะ คุณป้าในภาพเป็นผู้แนะนำเราเป็นอย่างดี พร้อมเลือกตั๋วรถไฟ และจองที่นั่งรถไฟสายโรแมนติก และแนะนำเคล็ดลับการเดินทางต่าง ๆ ที่คนท้องถิ่นเท่านั้นที่ทราบให้เราด้วยค่ะ

Tourist Information

สรุปว่าสิ่งที่คุณป้าแนะนำเรา คือ เราควรไปนั่ง Sagano Romantic Train กันพรุ่งนี้เลย เนื่องจากเป็นวันที่อากาศดี ฝนไม่ตก และคุณป้าก็ดูเวลารถไฟให้เรา แนะนำให้เรานั่ง JR ไปก่อนแล้วนั่งรถไฟสายโรแมนติกขากลับเพื่อจะได้ลงเดินเที่ยวเล่นได้ค่ะ นอกจากนี้ คุณป้ายังขาย JR West Pass 3 วันให้เราด้วยค่ะ ให้ใช้ วันรุ่งขึ้น เพื่อเดินทางไปกลับ เกียวโต และนารา เพราะแผนของเราคือเที่ยวแค่ โอซาก้า เกียวโต นารา สุดท้ายคุณป้าก็ออกตั๋วรถไฟเข้าเมืองให้เราด้วยค่ะ พร้อมบอกว่าตอนไปต่อรถไฟใต้ดินเพื่อไปโรงแรมให้ซื้อตั๋วแบบไหนอีกค่ะ ก่อนจากกัน Knot ก็ขอชักภาพกับคุณป้าเป็นที่ระลึกสักรูป แล้วคุณป้าก็แถมบัตรส่วนลด และแฟ้มพลาสติกน่ารัก ๆ ให้เรามาพร้อมแผนที่ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางตลอดทั้งทริปนี้

Knot is ready for Kansai Trip

Minamisenba Crystal Hotel

Knot จองที่พักผ่านทาง Booking.com นะคะ สำหรับทริปนี้ เราพักในเมือง Osaka ที่เดียวเลย โรงแรมที่เราพักอยู่ห่างจาก Shinsaibashi นิดเดียว ประมาณ 2 บล็อก การเดินทางค่อนข้างสะดวก สามารถใช้รถไฟใต้ดินได้สองสถานี สถานีที่ใกล้ที่สุดคือสถานี Nagahoribashi จากสถานีเดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงโรงแรมค่ะ คุณป้าแนะนำให้เรานั่งรถไฟจากสนามบิน มาเปลี่ยนรถไฟใต้ดินที่ Namba Station เพื่อมาลงที่สถานีนี้ค่ะ อีกสถานีคือ Shinsaibashi สถานีนี้จะไกลกว่าหน่อย แต่ด้านล่างใหญ่โตมีร้านรวงให้เดินมากมายค่ะ แน่นอนว่านอกจากวันแรกแล้ว วันต่อ ๆ ไป Knot เลือกใช้บริการสถานี Shinsaibashi ค่ะ

Check-in

โลเคชันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Knot เลือกพักที่นี่ อีกส่วนหนึ่งก็คือราคาและขนาดห้องพักค่ะ จากโรงแรมสามารถเดินไปช้อปปิ้งที่ Shinsaibashi ไปตรงไปอีกก็ถึง Dotonburi หรือที่ตั้งของ Glico Sign ป้ายที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปไม่งั้นมาไม่ถึง Osaka นั่นแหละค่ะ ห้องพักที่นี่ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กค่ะ แต่ห้องน้ำใหญ่มากเมื่อเทียบกับห้องพักของโรงแรมอื่นค่ะ ห้องน้ำแยกออกเป็นสามส่วนคือห้องอาบน้ำ อ่างล้างหน้า และห้องส้วมค่ะ เรียกว่าคนนึงอาบน้ำอีกคนทำธุระส่วนตัวไปได้ค่ะ ห้องพักสะอาดสะอ้านดี อุปกรณ์ครบครันค่ะ มีกาน้ำร้อนไว้ชงกาแฟและชาร้อนด้วยค่ะ น้ำเปล่ามีให้สองขวด แต่เราก็ซื้อเพิ่มจากซุปเปอร์ หรือ Vending Machine ได้ค่ะ ตู้มีเยอะมาตลอดสองข้างทางเลยค่ะ ราคาถูกกว่าซื้อในซุปเปอร์ด้วยค่ะ

ห้องพัก+ยูกาตะ

Kani Doraku

เช็คอินเสร็จนั่งพักกันนิดหน่อย เราก็เดินออกไปหาข้าวเย็นทานกันค่ะ Kani Doraku หรือร้านปูยักษ์ที่ไม่ควรพลาดค่ะ

อ่านต่อได้ที่

Kani Doraku

Key Coffee @Shinsaibashi

เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนออกเดินทางไปเกียวโตเพื่อนั่งรถไฟสายโรแมนติกตามที่คุณป้าจองไว้ให้เรา เราก็ต้องเติมพลังด้วยอาหารเช้าและกาแฟอร่อย ๆ กันที่ร้านประจำท้องถิ่นบนตรอก Shinsaibashi ร้านนี้ตกแต่งแบบโบราณ แก้วกาแฟก็เก่า ๆ หน่อย ดูบ้าน ๆ แต่อร่อยมากค่ะ คงชงน่าจะประสบการณ์สูงมากดูจากอายุแล้วนะคะ

อ่านต่อได้ที่นี่

Key Coffee

Sagano Romantic Train

อิ่มท้องแล้วเราก็เดินทางต่อเพื่อไปนั่งรถไฟสายโรแมนติก Sagano Romantic Train ที่อยู่นอกเมืองเกียวโตออกไปนิดเดียวค่ะ ขาไปเรานั่งรถไฟ JR ปกติไป ขากลับเรานั่ง Sagano Romantic Train กลับค่ะ ขึ้นลงคนละสถานีกับรถไฟ JR นะคะ ระยะพอเดินได้ Knot แนะนำว่า หากสนใจนั่งรถไฟสายนี้ควรสำรองที่นั่งล่วงหน้าค่ะ หากไม่ได้จองที่นั่งแล้วโผล่ไป โชคดีอาจได้ขึ้นแล้วยืนตลอดทาง โชคร้ายอาจไม่ได้ขึ้นนะคะ โดยเฉพาะช่วงพีค ก็คือ ใบไม้เปลี่ยนสี และซากุระบานค่ะ ประสบการณ์การนั่งรถไฟของ Knot และคุณ Juth ครั้งนี้ ต้องบอกว่าเป็น Family Train มากกว่าจะเป็น Romantic Train ค่ะ

อ่านต่อได้ที่นี่

Sagano Romantic Train

Nara – The City of Deers

วันต่อมาเราจัดให้เป็นวันเลี้ยงกวางโดยเฉพาะค่ะ คุณ Juth อยากไปเลี้ยงกวาง และกินข้าวหน้าหมูทอดร้านเดิมที่เคยมาทานเมื่อนานมากแล้ว เมื่ออยากเราก็ต้องจัดให้ค่ะ แต่พอโดนกวางประทุษร้ายวิ่งชนหน่อย คุณ Juth ถึงกลับบอกว่าพอแล้ว ไปไหว้พระกันดีกว่าค่ะ

อ่านต่อได้ที่นี่

Todaiji

Sumiyoshi Shrine

วันที่สี่วันนี้เราอยู่ Osaka กันทั้งวันพร้อมทั้งมี Local Guide พี่กี้ มาพาเราเที่ยวด้วยค่ะ พี่กี้พาเราไป Sumiyoshi Shrine ที่อยู่ไกลออกไปนิดนึง ขาไปเราได้นั่ง Tram กันด้วยค่ะ Osaka มี Tram หรือรถรางสองสาย ที่นักท่องเที่ยวมักไม่ค่อยได้ใช้บริการกันมากนักเพราะจะอยู่นอกเมืองออกไปนิดนึงค่ะ ปกติหากเราใช้รถไฟก็จะครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่แล้ว ที่นี่มีหนึ่งใน Power Spot ที่หลายคนต้องไปเพื่อรับพลังทั้ง 5 ด้วยค่ะ เราโชคดีที่มีพี่กี้พาเราไปโดยที่เราไม่ทราบมาก่อนค่ะ

อ่านต่อได้ที่นี่

fdfdf

Osaka Castle

ปิดท้ายก่อนกลับบ้าน เราเช็คเอ้าท์ตอนเช้าแล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดินไป Osaka Castle ที่ซึ่งถ้าไม่มาก็ไม่ถึง Osaka อีกเช่นกัน แต่เราไม่ได้เข้าไปด้านในนะคะ เพราะ Knot เคยเข้าไปหลายครั้งแล้ว และเป้าหมายของเรา คือ ทาโกะยากิในร้านขายของที่ระลึกค่ะ

อ่านต่อได้ที่นี่

ร้านขายของที่ระลึกที่รวมร้านอาหารไว้ด้วย

ญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่ง Vending Machine ตัวจริงเลยนะคะ เช้าวันสุดท้ายเราเหลือเงินสดกันไม่เยอะ แต่เรามีเงินยูโรติดมาเผื่อ ประกอบกับความอยากเล่นของ UX Designer ในสายเลือดของคุณ Juth เราก็ตัดสินใจแลกเงินผ่านตู้แลกเงินค่ะ ประสบการณ์ดีใช้ได้เลยค่ะ

ตู้แลกเงินอัตโนมัติที่ตรอก Shinsaibashi

ขาไปเราลากกระเป๋าไปคนละ 1 ใบ คุณ Juth ลากใบเล็ก Knot ลากใบใหญ่ (จริง ๆ แล้วคุณ Juth ลากทั้งสองใบค่ะ) ขากลับกระเป๋างอกออกลูกอีก 2 ใบใหญ่กว่ากระเป๋าลากใบเล็กอีกค่ะ ของในนั้นกันดั้มและของเล่นเด็กล้วน ๆ มีทั้ง helicopter รถยนต์บังคับ และแม่เหล็กตัวต่อ ส่วนตัว Knot ได้หมวก 1 ใบกับเสื้อผ้าอีกเล็กน้อย ที่เหลือของหลานและคุณ Juth ทั้งนั้นค่ะ

Knot

จบโพสต์ Kansai Trip กันตรงนี้นะคะ ขามาเรามากับ TG ขากลับเราก็กลับกับ TG เช่นกันค่ะ มาถึงก็พักผ่อนเตรียมทำงานต่อกันค่ะ หากท่านใดสนใจตามรอยกันได้นะคะ ไม่หวง สอบถาม แสดงความคิดเห็น ให้กำลังใจ Knot ได้นะคะ ยังไงฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม IG, Facebook และ YouTube: TripsinMyMemory กันด้วยนะคะ ตอนนี้เรามีแฟนเพจมากกว่า 4000 คนแล้ว ดีใจมากมายค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันนะคะ ทริปหน้าอยากไปเที่ยวไหนกันบอกได้นะคะ