วันนี้เรามีแพลนกันว่าจะไปเที่ยวอ่าวมัตสึชิมะ หรือ Matsushima Bay กันค่ะ อ่าว Matsushima เป็นหนึ่งในสามอ่าวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นเลยค่ะ อีกสองแห่งก็คือมิยาจิมะ หรือ Miyajima ใกล้ ๆ เมืองฮิโรชิม่า และ อะมาโนะฮาชิดาเตะ หรือ Amanohashidate ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกียวโตค่ะ Matsushima Bay เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่หากมาเที่ยวเซนได ไม่ควรพลาดค่ะ นอกจากอ่าวที่มีทัศนียภาพที่สวยงามแล้วที่นี่ยังมีวัดและโบราณสถานที่รอดจากสึนามิและแผ่นดินไหวมาหลายร้อยปีค่ะ อีกทั้งอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรมที่มีขนาดใหญ่มาก ราคาไม่แพงด้วยค่ะ
แต่ก่อนที่เราจะเดินทางไป Matsushima กัน เช่นเคยค่ะ เราสองคนเดินจากโรงแรมไปถนนคนเดินตรงข้ามตึก AER เพื่อไปทานอาหารเช้าที่คาเฟ่ที่เราเล็งไว้ค่ะ เมื่อเราเดินไปถึงถนนคนเดิน เราได้เห็นคนญี่ปุ่นกำลังนำเสลี่ยงออกมาทำความสะอาด และจัดวางบนถนน เพื่อให้ประชาชนได้บูชาก่อนที่จะมีการแห่รอบเมืองในตอนเย็นวันนี้ค่ะ ซึ่งเราน่าจะกลับไม่ทัน เราสองคนก็เลยทำการสักการะบูชากันในตอนเช้าขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังจัดสถานที่กันค่ะ
ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนน Cris Road มีชื่อว่า Three Takiyama Fudoin วันที่เราไปเป็นวันที่เค้ามีพิธีฉลองฤดูร้อนของศาลเจ้าแห่งนี้ หรือ Three Takiyama Fudoin dedication summer festival ศาลเจ้าแห่งนี้ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นที่ประทับของเทพเจ้าแห่งโชคดี (God of Good Luck) จึงนิยมมาขอให้ท่านปกป้องคุ้มครองและมีโชคดีค่ะ เครื่องรางของศาลเจ้าแห่งนี้ก็จะเด่นในด้านคุ้มครองและโชคดีเช่นกัน แต่วันนี้เราไม่ได้เข้าไปไหวด้านในเพราะเค้ากำลังจัดเตรียมงานกัน แต่เราจะเข้าไปไหว้ก่อนกลับกันค่ะ
Breakfast at Ueshima Coffee House
หลังจากไหว้โต๊ะบูชาและคุยกับคนจัดพิธี Knot และคุณ Juth ก็เดินจากศาลเจ้าไปตามถนน Cris Road เพื่อไปหาอาหารเช้าทานกันค่ะ บนนถนนเส้นนี้มีคาเฟ่หลายแห่งค่ะ เช้านี้ Knot เลือกร้านชื่อ Ueshima Coffee House ที่ตั้งอยู่หัวมุมของบล็อกที่สามทางซ้ายมือของถนนเส้นนี้ค่ะ เดินตรงมาจากศาลเจ้าได้เลยค่ะ หาไม่ยาก เพราะเราสองคนอยากทานพิซซ่าโทสต์เพราะติดใจความอร่อยจากที่เคยทานที่โอซาก้าที่ชื่อ Katachi Cafe แต่ที่ร้านนี้เค้ามีหน้าเดียวนะคะ ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะใส่อะไรบ้าง Knot และคุณ Juth เลยทานเหมือนกันค่ะ แต่เครื่องดื่ม Knot สั่งเป็นอเมริกาโนร้อน ของคุณ Juth เป็นชาเย็นค่ะ หากสังเกตุจะเห็นว่าชาเย็นที่นี่จะไม่ใส่นมมาให้ค่ะ แต่เค้าให้นมและน้ำเชื่อมเรามาต่างหาก สามารถปรุงกันได้ตามชอบค่ะ กาแฟร้านนี้หอมไม่มากมีรสเปรี้ยวนิด ๆ ค่ะ น่าจะเป็นกาแฟคั่วอ่อน-กลางค่ะ ส่วนชาเย็นคุณ Juth บอกว่าอร่อยมากค่ะ พิซซ่าโทสต์แม้ว่าจะเลือกหน้าไม่ได้แต่รสชาติดีทีเดียวค่ะ ขนมปังกรอบนอกนุ่มในเพราะเค้าใช้ขนมปังแผ่นหนาที่พอนำไปอบแล้วกรอบนุ่มกำลังดีค่ะ เราสองคนค่อย ๆ ทาน เย็นแล้วแป้งก็ไม่เหนียวค่ะ
Knot เลือกร้านนี้เพราะบรรยากาศน่านั่งมากค่ะ ร้านตกแต่งแบบสบาย ๆ อบอุ่น Ueshima Coffee Cafe เป็นร้านกาแฟของชาวญี่ปุ่นแท้ ๆ ค่ะ ที่ตั้งใจให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำไม่เพียงรสชาติของกาแฟแต่ยังรวมไปถึงอิ่มเอมกับช่วงเวลาของการดื่มกาแฟอีกด้วย ร้านนี้มีหลายสาขาแรกเริ่มเดิมชื่อ UCC Coffee Shop เปิดที่ Fukuoka ในปี ค.ศ. 1958 ซึ่งหากเราสังเกตในซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือตามตู้กดน้ำ เราจะเห็นกาแฟกระป๋องยี่ห้อ UCC ด้วยค่ะ บริษัท UCC เปิด Ueshima Coffee Shop specialty store ในปี ค.ศ. 2013 ในปัจจุบันมีเราจะเห็นร้านกาแฟนี้เปิดอยู่ในแหล่งช้อปปิ้ง สถานีรถไฟ และสนามบินด้วยค่ะ นับเป็นอีกหนึ่งเชนคาเฟที่ถ้าไปญี่ปุ่น Knot แนะนำให้ไปลองค่ะ
การเดินทางจากเซนไดไปยัง Matsushima
จาก JR Sendai Station เราสามารถนั่ง JR Senseki Line ไปลงที่สถานี Matsushimakaigan ได้เลยค่ะ ไม่ต้องต่อรถใด ๆ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ค่าตั๋วประมาณ 800 เยนไปกลับ แต่ถ้าถือ JR East Pass แบบเราก็ใช้ JR East Pass ได้เลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องจองที่นั่งนะคะ รถสายนี้เป็น Express line ค่ะ จะวิ่งเร็วหน่อย แต่ถ้าดูเวลาไม่ดี ไปนั่ง Local Line ก็จะยาวนานขึ้นอีกนิดค่ะ จริง ๆ แล้วที่มัตสึชิมะมีสถานีรถไฟสองสถานีค่ะ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแนะนำให้มาลงที่สถานี Matsushimakaigan เนื่องจากใกล้สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ มากกว่าค่ะ และสถานีตั้งอยู่บนเนิน ลงจากรถไฟปุ๊บจะเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของอ่าวมัตซึชิมะทันทีเลยค่ะ
ด้านหน้าสถานีรถไฟจะมีร้านเช่าจักรยานค่ะ ถ้าชอบชี่จักรยานสามารถเช่าได้นะคะ แต่ระยะทางที่เดินจากสถานีรถไฟไปสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ไกลมากค่ะ เดินประมาณ 20 นาทีถึงท่าเรือค่ะ แต่เดิน 10 นาทีถึง Zuiganji Temple แล้วค่ะ Knot เลือกที่จะเดินไปถนนเลียบหาดก่อนแล้วค่อยวนกลับมาเที่ยววัดก่อนกลับค่ะ
Truck food Softcream Frenchfried
วันนี้ฟ้าใส แดดแรงมาก อากาศถ้าเทียบกับประเทศไทยไม่ร้อนเท่าค่ะ แต่แดดที่นี่แรงมากค่ะ ถ้าไม่มีลม คือร้อนมาก เดินได้สักพัก Knot ผ่าน Truck food สีแดงน่ารักขาย Softcream French Fries และเครื่องดื่มต่าง ๆ เราสองคนเติมพลังด้วย Softcream กับ French Fries ค่ะ รสชาติดีทีเดียวค่ะ แต่เนื่องจากลมแรงและร้อนมากไอศกรีมเลยละลายเร็วมากค่ะ ต้องรีบกิน
ความเป็นมาของเมือง Matsushima
อ่าวมัตสึชิมะ หรือ Matsushima Bay ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายบนท้องมหาสมุทรสีฟ้าสด เกาะเหล่านี้เต็มไปด้วยต้นสนมากมาย อ่าวมัตสึชิมะมีทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดหนึ่งในสามแห่งของญี่ปุ่น อีกสองแห่งคือ Miyajima ในฮิโรชิม่า และ Ama-no-hashidate ที่เกียวโต มัตสึชิมะเป็นที่รู้จักกันในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เมื่อดาเตะ มาสะมุเนะ หรือ Masamune Date เจ้าเมืองผู้โด่งดังมาบูรณะ Zuiganji temple ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 ใกล้ ๆ อ่าว Matsushima ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 มัตซิโอะ บาชู (Matsuo Basho) ปรมาจารย์ด้าน Haiku poetic literature ได้มาเยือนอ่าว Matsushima และแต่งบทกวียกย่องความงามของทัศนียภาพของอ่าว Matsushima ไว้ในหนังสือเรื่อง “Okuno Hosomichi” ของเขา
อ่าว Matsushima มีเกาะแก่งต่าง ๆ ประมาณ 260 เกาะ เราสามารถชมความงามของอ่าวมัตสึชิมะได้โดยการนั่งเรือรอบอ่าว และเดินชมโบราณสถานตามชายฝั่งของอ่าวแห่งนี้ โบราณสถานที่สำคัญของมัตสึชิมะ ได้แก่ Zuiganji temple ซึ่งสถาปัตยกรรมตัวอย่างของวัดในพุทธศาสนาประจำยุคศตวรรษที่ 17
หลายคนน่าจะยังจำกันได้ถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่และสึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2011 Matsushima เป็นหนึ่งในเมืองที่น่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่เกาะแก่งต่าง ๆ ในอ่าว Matsushima ได้ช่วยรับแรงและปกป้องทำให้ร้านค้า สถานที่ท่องเที่ยว และโรงแรมต่าง ๆ ในเมือง Matsushima จึงไม่ได้รับผลกระทบ มากนัก กลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนหลังเหตุการณ์สงบลง แต่ขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งนั้น Matsushima ก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากถนนและทางรถไฟขาดจึงทำให้อาหารขาดแคลน แต่รัฐบาลญี่ปุ่นใช้เวลาไม่นานก็สามารถซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยกลับสู่สภาพที่ดีกว่าเดิม
Knot และคุณ Juth เดินทางสถานีรถไฟตรงมาเลี้ยวซ้ายที่มุมถนน หากเลี้ยวขวาไปเราจะเห็นทัศนียภาพของอ่าว Matsushima แต่ไม่ถึงตัวเมืองนะคะ เลี้ยวซ้ายแล้วก็เดินตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะผ่านร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารข้างทางจะมีหอยนางรมขายเป็นไม้ค่ะ เนื่องจากอ่าว Matsushima เป็นหนึ่งในแหล่งเพาะพันธุ์และเลี้ยงปลาแซลมอนและหอยนางรมที่สำคัญของญี่ปุ่น อาหารทะเลที่นี่จึงมีราคาถูก สด และขนาดใหญ่มากค่ะ
แผนการท่องเที่ยวของเราในวันนี้ก็คือเราจะแวะไหว้พระที่ Godaido ก่อน แล้วจะเดินข้ามไปเกาะ Fukuura Island ใกล้ชายฝั่งของอ่าว Matsushima ก่อนแล้วเราก็จะแวะทานอาหารกลางวันในเมือง แวะช้อป ชิม ชิลตามร้านขนมและของฝากตามร้านฝั่งตรงข้าม ก่อนจะไปไหว้พระที่วัด Zuiganji และชมบ้านพักของดาเตะ มาสะมุเนะกันค่ะ Knot เลือกที่จะไม่นั่งเรือชมทัศนียภาพของ Matsushima เพราะเรามีเวลาไม่มาก อากาศก็ค่อนข้างร้อนมาก และเราก็กลัวเมาเรือ อันนี้สำคัญที่สุดเลยค่ะ
Godaido – The Small Temple Hall
Godaido จะเรียกว่าวัดได้ไหม Knot ไม่แน่ใจนะคะ แต่เอกสารภาษาญี่ปุ่นไม่นับว่าเป็นศาลเจ้า หรือ Shrine ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Small Temple Hall ก็น่าจะหมายถึงอุโบสถขนาดเล็ก เมื่อมี Temple Hall ได้ก็น่าจะเป็นวัดนะคะ Knot ของนิยามว่า วัดโกะไดโดเป็นวัดขนาดเล็ก ตัวอุโบสถตั้งอยู่ที่ชะง่อนผาใกล้ๆ กับท่าเรือ จึงทำให้อุโบสถหลังนี้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสถานที่ท่องเที่ยวของ Matsushima วัดโกะไดโดสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 807 เป็นที่ประดิษฐสถานของรูปปั้นวิทยราชทั้งห้า ซึ่งเป็นเทพตัวแทนของธาตุทั้งห้า ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ซึ่งเป็นที่เคารพของศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน ทุก ๆ 33 ปี จะมีการเปิดให้ชมรูปปั้นทั้ง 5 องค์ ครั้งต่อไปจะเปิดให้ชมคือ ปี ค.ศ. 2039 ค่ะ เพราะเพิ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปชมในปี ค.ศ. 2006 ไม่กี่ปีมานี้เองค่ะ อีก 20 ปี ถ้ายังไหว Knot จะกลับไปอีกครั้งค่ะ
อุโบสถที่เราเห็นกันอยู่นี้ได้รับการบูรณะในปี ค.ศ. 1604 โดยดาเตะ มาซามุเนะ ด้านนอกของอุโบสถจะได้รับการตกแต่งด้วยภาพสัตว์ 12 ราศีแกะสลัก ด้านละ 3 ตัว แม้ว่าวัดโกไดโดแห่งนี้จะตั้งอยู่บนชะง่อนผา แต่อุโบสถแห่งนี้รอดพ้นจากแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ที่ผ่านมา
Fukuura Island
จากวัดโกไดโด เราสองคนก็เดินผ่านท่าเรือ Ferry ไปยังเกาะ Fukuura Island ซึ่งเป็นเกาะที่สามารถเดินไปได้เพราะเค้าทำสะพานแดงพาดยาวเชื่อมเกาะกับเมืองไว้ให้เราเดินไปเที่ยวได้โดยสะดวก ค่าข้ามสะพาน 200 เยนค่ะ ทางเข้าอยู่ในคาเฟ่ค่ะ ซื้อตั๋วได้ที่เครื่องขายตั๋ว (Ticket machine) แล้วพนักงานของร้านจะขอดูเวลาเราจะเดินข้ามไปค่ะ ตั๋วน่ารักมากเป็นแมงก้าตามสไตล์ญี่ปุ่นค่ะ
ออกจากร้านก็จะถึงสะพานเลยค่ะ สะพานตัวนี้ยาวประมาณ 5-600 เมตรค่ะ มองไปเราจะเห็นต้นสนสูงใหญ่ดูร่มรื่นทีเดียวค่ะ เมื่อ Knot เดินข้ามไปถึงเกาะ ก็ตรงเข้าไปดูแผนที่ก่อนเลยค่ะ เกาะ Fukuura ไม่ใหญ่มาก แต่ด้วยความร้อน Knot ตัดสินใจว่าเราจะเดินไปไหว้พระที่ศาลเจ้า ซึ่งจะผ่านจุดชมวิวของเกาะที่จะมองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของอ่าว Matsushima โดยไม่ต้องนั่งเรือค่ะ
จากแผนที่เราเดินเลี้ยวขวา ไต่บันไดที่ไม่ชันมากไปตามเนินเขา ผ่านร้านค้าร้านเดียวบนเกาะ หน้าร้านมีเซียมซีไว้ให้ลองเสี่ยงทายกันด้วยค่ะ ถ้าได้ใบไม่ดีสามารถผูกไว้ที่เสาข้างๆ ได้ตามภาพนะคะ
เดินไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงศาลเจ้าค่ะ มีคนเอาตุ๊กตามาถวายไว้ตามช่องกระจกของศาลเจ้าเยอะทีเดียวค่ะ หน้าศาสเจ้าหากมองลงไปจะเห็นทัศนียภาพของท้องทะเลของอ่าว Matsushima เช่นกันค่ะ แต่ต้นไม้ค่อนข้างสูงค่ะ
ไหว้พระเสร็จเราสองคนก็เดินกลับค่ะ ใกล้ๆ ร้านค้าจะมีห้องน้ำสาธารณะไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วยค่ะ ห้องน้ำสะอาดมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อดีของการเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เราไม่ต้องกังวลเรื่องห้องน้ำกันเลยค่ะ เนื่องจากอากาศร้อนมาก พอกลับถึงคาเฟ Knot และคุณ Juth ก็แวะซื้อชาเย็นทานกันก่อนค่ะ ที่ร้านนี้ไม่มีอาหารขายมากนักค่ะ มีดังโงะ และเครื่องดื่มไม่กี่ชนิดค่ะ แต่มีห้องแอร์ให้เรานั่งพัก ระหว่างนั้นคุณ Juth หันไปเห็นตราปั๊มประจำเมืองก็เลยเอาสมุดไปสแตมป์เก็บไว้เป็นที่ระลึกค่ะ พูดถึงเรื่องตราปั๊ม สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นจะมีตราปั๊มวางไว้ให้เด็กๆ และนักท่องเที่ยวสแตมป์ไปเป็นที่ระลึกได้ค่ะ ส่วนใหญี่จะอยู่ที่สถานีรถไฟ JR และตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนั้น ๆ ค่ะ ถือเป็นของสะสมที่ดีอีกอย่างหนึ่งเลยค่ะ ใครสะสมสแตมป์แบบนี้เอามาแชร์กันได้นะคะ Knot เคยมีเมื่อสมัยไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นไม่ได้ตามเก็บอีกเลยค่ะ
Lunch @ร้านคุณป้า
มา Matsushima สิ่งที่ต้องทานคือ หอยนางรม ลิ้นวัวย่าง และเนื้อมัตสึชิมะ ซึ่งมีชื่อเสียงมากพอๆ กับวากิวของโกเบเลยนะคะ ออกจากคาเฟ่ เราสองคนหิวมากแล้ว คุณป้าที่กางร่มในภาพออกมาเชิญชวนให้เข้าร้าน ภาพหอยนางรมหน้าร้านทำให้เราตัดสินใจเดินเข้าไปทาน แต่เราสองคนสั่งหอยชุบแป้งทอด และทงคัตสึ ถามว่าอร่อยไหม อร่อยค่ะ แต่เราควรสั่งหอยนางรมย่างไม่ใช่เหรอ เรื่องมีอยู่ว่า เมนูคุณป้าเป็นภาษาญี่ปุ่น มีเมนูภาษาอังกฤษนะคะ แต่เราสั่งมาแล้วไม่ได้แบบที่เราคิด แต่ด้วยความที่อร่อยก็กินจนหมดและอิ่มมากจนไม่สามารถไปกินหอยย่างได้อีกค่ะ ต้องจำไว้ว่าคราวหน้าควรไปกินหอยย่างที่ตลาดปลามัตสึชิมะ ซึ่งเดินจากร้านคุณป้าตรงไปข้ามถนนก็ถึงแล้วค่ะ
หอยชุบแป้งทอด ซุปหอย หมูทอด
อีกหนึ่งของที่ต้องกินที่ Matsushima คือถั่วแระบดราดบนดังโงะค่ะ ถั่วแระบดเป็นของขึ้นชื่อลือชาของเมืองนี้ พอเห็นร้านขายเราสองคนก็เดินเข้าไปซื้อค่ะ ราคาไม่แพง 2 ไม้ 300 เยนเท่านั้นค่ะ ร้านเค้ามีตุ๊กตาถั่วแระเป็นของพรีเมี่ยมด้วยนะคะ น่ารักมาก มีนมรสถั่วแระด้วยค่ะ เรียกว่าทั้งร้านขนมทุกอย่างทำจากถั่วแระค่ะ
ไม่แน่ใจว่าเราอิ่มจริงหรือเปล่านะคะ แต่เราสองคนก็เดินซื้อของที่ระลึกต่าง ๆ และของฝากไปพร้อมๆ กับการซื้อขนมขึ้นชื่อประจำเมืองค่ะ จากร้านถั่วแระเราเดินย้อนไปทางสถานีรถไฟก็จะเจอร้านข้าวเกรียบค่ะ ร้านนี้ Knot เคยมาทานของเค้าเมื่อตอนมาญี่ปุ่นกับพี่สาวก่อนเกิดสึนามิค่ะ ครั้งนี้เค้าตกแต่งร้านใหม่ใหญ่โต คิวยาวมากทีเดียวค่ะ Knot เดินเข้าไปซื้อมา 1 ชิ้น รสชาติออกจะเค็มๆ หน่อยค่ะ
ร้านข้าวเกรียบ ข้าวเกรียบ
เดินต่อไปอีกนิดตรงทางเข้าวัด Zuiganji มีตู้กาชาปงค่ะ ไขออกมาเป็นตุ๊กตาไม้โคคาชิของดีเมืองเซนได หน้าตาน่ารักดีนะคะ คุณ Juth บอกว่าเหมือน Knot มาก เอิ่ม! ขออนุญาตมองบนสักสิบรอบ
Zuiganji Temple
Zuiganji Temple หรือ วัดซุยกังจิ เป็นหนึ่งในโบราณสถานสำคัญทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น เป็นหลักฐานของความเลื่อมใสศรัทธาของศาสนาพุธนิกายเซน วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหลวงพ่อ Jikaku Daishi ราวๆ พ.ศ. 828 กว่าพันปีมาแล้ว ซึ่งเป็นหลวงพ่อรูปเดียวกับที่สร้างวัด Hiraizumi และวัด Yamadera แต่วัดที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยดาเตะ มาสะมุเนะ ในปี ค.ศ. 1609 เพื่อเป็นวัดประจำตระกูลของเขา
เนื่องจากวัดซุยกังจิถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปลายของสงครามกลางเมือง (civil wars) ซึ่งมีสถาปัตยกรรมสำคัญซึ่งปกติจะเห็นเฉพาะในปราสาทเท่านั้น รวมถึงหอนาฬิกา สัญญาณเตือนภัยตอนกลางคืนด้วยการสั่นสะเทือนที่พื้น ซึ่งไม่เหมือนวัดทั่วไป วัดซุยกังจิยังล้อมรอบไปด้วยถ้ำเล็ก ๆ มากมาย ที่ในอดีตพระใช้จำวัตรและสวดมนต์ นอกจากนี้ ยังมีทางเดินล้อมรอบด้วยต้นสนใหญ่เขียวชอุ่มอีกด้วย
ค่าเข้า ผู้ใหญ่คนละ 700 เยน เด็กและผู้สูงอายุคนละ 400 เยน ปัจจุบันเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมเวลา 8.00-17.00 น (ยกเว้นช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคมวัดจะปิดเร็วขึ้นค่ะ) Knot แนะนำว่าควรตรวจสอบเวลาทำการกับทางเว็บไซต์ของวัด หรือถามที่ Tourist Information Center ก็ได้ค่ะ ค่าเข้าชมนี้รวมค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Treasures of the temple ซึ่งจัดแสดงชุดเกราะของดาเตะ มาสะมุเนะ และฮอนโด (อุโบสถกลาง) ซึ่งเพิ่งเปิดให้เข้าชมอีกครั้งเมื่อเดือนเมษายน 2016 ไม่กี่ปีมานี้เองค่ะ
ถ้ำ ถ้ำ รูปปั้นพระ ประตูทางเข้าวัด
จากปากทาง เดินตรงเข้าไปทางซ้ายจะมีห้องน้ำสาธารณะไว้บริการนักท่องเที่ยวค่ะ สะอาดตามสไตล์ญี่ปุ่นค่ะ เดินเข้าเขตวัดปุ๊บความร้อนที่ได้รับจากแสงแดดตอนบ่ายก็เริ่มหายไป ด้วยความเขียวชอุ่มของต้นสนและต้นไม้ที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบของวัดค่ะ ถ้าเราเดินแยกไปทางขวา จะเป็นทางเดินไปตามถ้ำเล็กถ้ำน้อยต่าง ๆ ที่ในอดีตพระเคยใช้จำวัตรและสวดมนต์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือกุฏิพระนั่นเองค่ะ ปัจจุบันไม่มีการจำวัตรในถ้ำเหล่านี้แล้วนะคะ แต่ยังมีรูปปั้นต่าง ๆ ตั้งเรียงรายไว้ให้เราไหว้กันค่ะ
สังเกตได้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวแถบโทโฮคุนี้ ที่ขายตั๋วเปลี่ยนเป็น Ticket Machine หมดแล้วค่ะ น้ำก็กดตู้ ของที่ระลึกก็หมุนกาชาปง ตั๋วก็กดตู้เอาค่ะ ตู้ขายตั๋วของเค้ารับทั้งเงินสดและบัตรต่าง ๆ มีทั้งภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาเกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่มีภาษาไทยค่ะ ตู้ของเค้าดูภายนอกตอนแรกก็กลัวว่าจะใช้งานยาก แต่พอได้ใช้จริงครั้งแรก ไม่ยากเลยค่ะ ต้องบอกว่าคนญี่ปุ่นมีการออกแบบที่คิดถึงประสบการณ์ของผู้ใช้ได้ละเอียดรอบคอบมากค่ะ
เมื่อได้ตั๋วแล้วเราสองคนก็เดินผ่านทางเข้าไป จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตั๋วและบอกทางเราว่าควรเดินวนไปทางไหนค่ะ อันนี้คือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเพราะเราในฐานะนั่งท่องเที่ยวก็จะงกๆ เงิ่นๆ ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนก่อน ถ้าเดินผิดทางก็จะกลายเป็นสวนทางไปมา การจราจรอาจติดขัดได้ การถ่ายรูปก็จะมีคนเดินสวนออกมาไม่สวยงาม เราก็จะเห็นว่าทุกคนเดินไปในทางเดียวกัน ถ่ายรูปออกมาก็จะได้ภาพที่ดีงาม
ขอพรพระ ดาเตะ หรือ ดารุมะ
ด้านในของอุโบสถวัด Zuiganji และพิพิธภัณฑ์ เราไม่สามารถถ่ายภาพได้นะคะ แต่ภาพนกยูงทองและภาพซากุระรอบโถงทำการภายในฮอลล์สวยงามมาก ควรค่าแค่การเข้าชมอย่างมากค่ะ เมื่อเราสองคนเดินชมภายในจนพอใจ ก็แวะทาน Softcream ที่หน้าพิพิธภัณฑ์กันนิดนึงแล้วจะเดินไปดู Date Masamune Tea Room กันค่ะ พอเราเดินไปถึง น่าเสียดายที่ Tea room ปิดแล้วค่ะ บ่ายสามกว่า ๆ เท่านั้นเองค่ะ เค้าปิดบ่ายสามค่ะ แต่เราก็เดินขึ้นไปชมวิวด้านหน้าของ Tea Room มองลงไปจะเห็นทิวทัศน์ของอ่าวมัตสึชิมะ ที่สวยงามค่ะ มุมมนี้จะเห็นภาพอ่าวที่สวยที่สุดนะคะ เพราะเป็นจุดที่ ดาเตะ มาซะมุเนะ ชื่นชอบมากจนสร้างเรือนรังรองอาคันตุกะผู้มาเยือนที่นี่ แล้วกลายมาเป็น Tea Room ในปัจจุบันค่ะ
Tea Room
จาก Tea Room เราสองคนก็เดินกลับสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถไฟกลับไปเซนไดกันค่ะ ระหว่างทางกลับก็จะเห็นร้านค้าข้างทางมีเปลือกหอยวางเรียงรายไว้หน้าร้านให้เห็นความใหญ่โตของหอยที่แต่ละร้านขายกันค่ะ
ก่อนขึ้นรถไฟ คุณ Juth ก็หยอดตู้ซื้อโค้ก Sendai Edition เย็นๆ แก้กระหาย และจะเอาไปสะสไว้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ
Dinner @ Goroto Grill
อาหารเย็นวันนี้ เราสองคนกลับมากินที่ Sendai ค่ะ เป้าหมายคือร้านในห้างใกล้ ๆ โรงแรมที่เราใช้บริการบันไดเลื่อนเค้าเป็นประจำค่ะ ในที่สุดก็เลือกได้เป็น ร้าน Goroto Grill ค่ะ อยู่ชั้น G ค่ะ Knot เลือกร้านนี้เพราะเค้ามีเมนูพิเศษ เป็นบะหมี่เย็นสูตรพิเศษสำหรับช่วงฤดูร้อนของเซนไดเท่านั้น Knot จำชื่อเมนูไม่ได้นะคะ แต่น้ำซุปเค้าใส่แตงโมและผสมกิมจิด้วยค่ะ ตามภาพเลย อร่อยมากค่ะ ไก่ย่างของเค้าก็อร่อยค่ะ ตอนทาน Knot สังเกตว่าร้านนี้ไม่มีคนต่างชาตินั่งอยู่เลยค่ะ อาจจะเพราะเมนูและทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่น ลูกค้า 80% ของร้านสั่งเมนูเดียวกับ Knot เลยค่ะ คือบะหมี่เย็นแต่เครื่องจะแตกต่างกันไปตามชอบค่ะ
ทานอาหารเสร็จ เราสองคนก็เดินกลับโรงแรมค่ะ เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้าเพื่อนั่งรถไฟไปนิกโก้ เมืองโบราณอังโด่งดังของญี่ปุ่นค่ะ ประกอบกับว่าวันนี้อากาศร้อนมาก เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ได้นอนพักเร็วหน่อยก็ดีค่ะ โพสต์นี้ก็เป็นอีกโพสต์ที่ยาวมาก Knot ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ
สุดท้ายนี้ Knot ฝากกดไลค์ กดแชร์ Facebook และ IG ของ Trips in My Memory
กด Supscripe และกดกระดิ่ง YouTube Channel ของ Trips in My Memory หรือจะ Bookmark website: www.tripsinmymemory.com ไว้ ทุกท่านจะได้ไม่พลาดเรื่องราวใหม่ ๆ ในความทรงจำของ Knot ค่ะ หากท่านใดอยากให้ Knot เล่าเรื่องราวจากการไปเที่ยวที่ไหน หรือช้อปปิ้งอะไร บอกกันมาได้นะคะ ถ้า Knot เคยไปมาแล้วจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ