เรื่องมีอยู่ว่าหยุดยาววันเข้าพรรษาปีนี้ Knot มีโอกาสเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ เพราะจะทำ Relex รักษาสายตาในวันที่ 6 กรกฎาคม 2563 ค่ะ เสาร์อาทิตย์ว่าง ๆ คุณ Juth ซึ่งเป็นคนที่ชอบงานศิลปะมากเลยชวนไปดูงานนิทรรศการภาพวาดและชีวิตของ Vincent Van Gogh ค่ะ ที่มาจัดแสดงที่ Moda Gallery, ชั้น 2 ริเวอร์ซิตี้ ตรงสี่พระยาค่ะ ท่าเรือของเจ้าพระยา ปริ้นเซสค่ะ นิทรรศการนี้ไม่ได้นำภาพวาดจริงของ Van Gogh มาแสดงให้เราชมนะคะ แต่เป็นการนำเอาชีวประวัติและจำลองผลงานชิ้นเอกที่มีมูลค่ามหาศาลกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐของเขามาให้เราชมและเรียนรู้ถึงเบื้องหลังของการวาดภาพแต่ละชิ้นงานในรูปแบบมัลติมีเดียค่ะ
ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ Knot ไม่ได้อัพเดทบล็อก Trips in My Memory นานพอสมควรเลยดีเดียว แต่ถ้าใครติดตามเพจ Trips in My Memory และ/หรือช่อง YouTube: Trips in My Memory ก็จะได้เห็นว่า Knot ไม่ได้หายไปไหนนะคะ แต่ไม่มีทริปเดินทางท่องเที่ยวตลอดช่วง Lock Down ที่ผ่านมาก็เลยไม่ได้มาเล่าเรื่องราวการเดินทางให้ทุกท่านอ่านกันค่ะ แต่โพสต์นี้ Knot อยากนำเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองไทยเหมือนไปเมืองนอกมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
การเดินทางไปริเวอร์ซิตี้
สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปชมงานนี้ สามารถเดินทางไปได้ทั้งทางบกและทางน้ำนะคะ ถ้าเราเดินทางด้วยเรือเมล์ ก็ลงที่ท่าเรือสี่พระยาได้เลยค่ะ ถ้าไปรถยนต์ส่วนตัวก็ไปจอดที่ที่จอดรถของริเวอร์ซิตี้ได้เลยค่ะ หรือถ้านั่งรถไฟฟ้า BTS ไปแนะนำให้ลงที่สถานีสะพานตากสินแล้วต่อเรือด่วนไปลงที่ท่าเรือสี่พระยา หรือ นั่งรถเมล์สาย 36 ไปลงที่ป้านท่าเรือสี่พระยาก็ได้ค่ะ แต่สำหรับทริปนี้ Knot และคุณ Juth เลือกที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวไปค่ะ จากที่พักไปริเวอร์ซิตี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รถไม่ติดก็สบาย ๆ ค่ะ ไปถึงก็หาที่จอดรถ แล้วก็เดินเข้าอาคาร จะมีรปภ คอยตรวจวัดอุณหภูมิ และให้เราเช็คอินลงทะเบียนเข้าออกอาคารค่ะ จากนั้น ก็เดินไปที่ชั้นสองบริเวณที่จัดงาน หาไม่ยากค่ะ เพราะมีป้ายสัญลักษณ์บอกตลอดค่ะ เมื่อไปถึงที่หน้างาน เราก็สอบถามเจ้าหน้าที่ว่าเราจะไปซื้อบัตรเข้างานได้ที่ไหนอย่างไร เจ้าหน้าที่ก็บอกทางให้เราเดินลงไปชั้น 1 เพื่อไปซื้อบัตรเข้างานค่ะ ถ้าซื้อบัตรมาแล้วผ่าน Zipevent ก็ต้องมารับบัตรที่เดียวกันค่ะ แต่จะมีช่องให้เข้าแถวแยกกันค่ะ
บัตรที่ได้รับจะมีสองใบนะคะ บัตรแข็งและบัตรอ่อน บัตรแข็งนี่ผู้จัดน่าจะเอาไว้ใช้นับจำนวนคนเข้างานค่ะ เพื่อจำกัดให้เป็นไปตามจำนวนที่กำหนดเพื่อรักษา Social Distancing ค่ะ ส่วนบัตรอ่อนตอนเข้าไปเจ้าหน้าที่จะฉีกเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง เราได้เก็บไว้ครึ่งหนึ่งเป็นที่ระลึกค่ะหางตั๋วที่เราได้รับมาหน้าตาจะเป็นแบบนี้ค่ะ
หลังจากได้บัตรแล้วเราสามารถเดินกลับขึ้นบันไดเลื่อนไปหรือไปขึ้นบันไดก็ได้ค่ะ เราเลือกที่จะไปเดินขึ้นบันได เพราะอยากถ่ายรูปกับป้ายงานอันใหญ่โตค่ะ พอเดินเข้างานเราก็จะได้ดื่มด่ำกับชีวิตและผลงานของอัจฉริยะคนหนึ่งของโลกกันค่ะ
ดื่มด่ำและเรียนรู้ชีวประวัติและภาพวาดของ Van Gogh
Knot เคยไปชมผลงานของ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ที่ Vangogh Museum กรุงอัมสเตอร์ดัมส์ ประเทศเนเธอแลนด์เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ค่ะ แต่เนื่องจากภาษาที่ใช้ในการอธิบายของทางพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาดัชต์ มีแค่ชื่อภาพและคำอธิบายเล็กน้อยที่เป็นภาษาอังกฤษทำให้ไม่ได้เข้าใจความเป็นมาของภาพเขียนแต่ละภาพได้ชัดเจนเหมือนในงานครั้งนี้ค่ะ ภาพที่ผู้จัดเลือกมาจัดแสดงให้เราชม พร้อมเขียนคำอธิบายตีความต่าง ๆ ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาไทย เขียนออกมาได้ดีมาก เข้าใจได้ถึงความเป็นมา ความคิด การตีความของทั้งตัวศิลปินเอง นักวิจารณ์ภาพศิลป์ และนักประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีค่ะ
นอกจากการนำเอกภาพมาแสดงพร้อมชีวประวัติและการตีความแล้ว ผู้จัดยังได้จำลองภาพ The Bedroom in Arles ออกมาเป็นห้องจริง ๆ ซึ่งห้องนี้เคยเป็นห้องนอนของแวนโก๊ะห์สมัยที่เขาพำนักอยู่กับโกแกงส์ หรือ Paul Gauguin ศิลปินชื่อดังอีกท่านหนึ่ง ซึ่งทั้งสองร่วมกันก่อตั้งสตูดิโอชื่อว่า Studio of the South ขึ้นเป็น Community ของศิลปินที่เมือง Arles ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเมืองนี้ บ้านของแวนโก๊ะห์หลังนี้ไม่อยู่แล้วนะคะ โดนบอมบ์ไปในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ทางเมืองได้จัดทำ Van Gogh Trail ให้เราได้ออกติดตามภาพวาดของแวนโก๊ะห์ในมุมต่าง ๆ ของเมืองค่ะ ถ้ามีโอกาส Knot จะพาคุณ Juth และทุกท่านไปตามรอยแวนโก๊ะห์กันค่ะ
ชีวประวัติของแวนโก๊ะห์
แวนโก๊ะห์ มีชื่อเต็มว่า Vincent William Van Gogh เกิดในครอบครัวที่มีฐานะดี (Upper Middle Class) เกิดที่เมือง Zundert ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 1853 เป็นหนึ่งใน Post Impressionist คนสำคัญของโลก ร่วมกับ พอล เซซาน (Paul Cezanne) พอล โกแกง (Paul Gauguin) รอเจอร์ ฟราย (Roger Fry) และ จอร์จ เซอราต์ (Georges Seurat) อาชีพแรกของวินเซนต์ แวนโก๊ะห์คือพ่อค้าภาพศิลป์ (Art Dealer) หลังจากนั้นไม่นาน วินเซนต์ได้ไปเรียนเกี่ยวกับ Theology (เทววิทยา) เมื่อจบออกมาได้ทำงานเป็นนักสอนศาสนาหรือ Missonary อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะกลับไปเรียนศิลปะ ที่ Antwerp ประเทศเบลเยี่ยม หลังจากนั้น วินเซนต์เลือกที่จะเป็นศิลปิน ย้ายกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านเกิด และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Theo น้องชายของเขาตลอดชีวิตการเป็นศิลปิน ซึ่งทั้งสองคนได้เขียนจดหมายโต้ตอบกันตลอดเวลากว่า 800 ฉบับ ซึ่งในจดหมายเหล่านี้ มีคำพูดดี ๆ ที่กลายมาเป็นคำคมที่ให้แรงบันดาลใจกับคนรุ่นต่อมามากมาย
ตลอดระยะเวลา 10 ปีในช่วงชีวิตการเป็นศิลปินของแวนโก๊ะห์เขาวาดภาพกว่า 2,100 ภาพ เป็นภาพวาดสีน้ำมันประมาณ 860 ภาพ ซึ่งส่วนมากเป็นภาพที่เขาวาดในช่วง 2 ปีสุดท้ายก่อนเสียชีวิต วินเซนต์ขายภาพวาดของเขาได้เพียงภาพเดียวเท่านั้นในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ ในช่วงแรกของการเป็นศิลปินภาพวาดของเขาเป็นการวาดภาพสิ่งของ (Still Lifes) และภาพการทำงานที่สวยงาม (peasant labourers) ซึ่งมีการใช้สีสด (Vivid Colour) เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผลงานของแวนโก๊ะห์ในเวลาต่อมา
ในปี 1886 วินเซนต์ย้ายมาอยู่ที่ปารีส ซึ่งเขาได้พบกับเพื่อนรัก Émile Bernard และ Paul Gauguin ซึ่งต่อมาได้ร่วมกันสร้างสตูดิโอขึ้น การย้ายมาอยู่ที่ปารีสในครั้งนี้ ส่งผลให้งานของเขามีการพัฒนามาวาดภาพนิ่งและ Lanscapes มีการใช้สีที่สดใสมากขึ้นในภาพวาดของเขาในช่วงนี้ ซึ่งถึงจุดสูงสุดเมื่อเขาย้ายไปอยู่ที่เมือง Arles ซึ่งช่วงนี้เองที่เค้าเริ่มวาดสิ่งอื่นๆ มากขึ้น เช่น olive trees, wheat fields และ sunflowers ซึ่งกลายมาเป็นผลงานที่โด่งดังของเขานั้นเอง ผลงานที่มีชื่อเสียงของแวนโก๊ะห์ ได้แก่
- Sorrow (1882)
- The Potato Eaters (1885)
- Sunflowers (1887)
- Bedroom in Arles (1888)
- The Starry Night (1889)
- Portrait of Dr. Gachet (1890)
- Wheatfield with Crows (1890)
ซึ่งห้าในเจ็ดภาพได้นำมาจัดเป็นนิทรรศการ Van Gogh Life and Art ที่ Moda Gallery ชั้น 2 ริเวอร์ซิตี้ กรุงเทพฯ ที่ Knot และคุณ Juth มีโอกาสไปชมกันค่ะ
ภายในงาน Van Gogh Life and Art @ MODA Gallery, Rivercity, Bangkok
นิทรรศการ Van Gogh Life and Art ครั้งนี้จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลที่กรุงเทพ หรือ MODA Gallery ชั้น 2 อาคารริเวอร์ซิตี้ ตรงท่าเรือสี่พระยาค่ะ ไม่ไกลเลย งานนี้เปิดให้ชมตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคม 2563 ค่าบัตรเข้าชม 350 บาทสำหรับผู้ใหญ่ โดยภายในงานมีการจัดระเบียบให้เช็คอิน เช็คเอ้าท์ รักษาระยะห่าง และจำกัดจำนวนคนเข้าชมรอบละไม่เกิน 80 คนค่ะ Knot และคุณ Juth ไปงานนี้ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของคนไทย เราเข้าชมงานรอบ 13.00 น คนเข้าชมไม่เยอะมาก มีคนต่างชาติบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนไทย และเน้นมาถ่ายรูปกันค่ะ จะไม่เหมือนคุณ Juth เพราะขานี้เป็นสายศิลปกรรมที่มาเพื่อศึกษา เรียนรู้ และชื่นชมงานศิลปะ คุณ Juth เล่าว่าแม้ว่าแวนโก๊ะห์จะไม่ใช่ศิลปินในดวงใจเพราะชอบ Rembrandt มากกว่า ย้อนกลับไปอ่านความชอบด้านงานศิลปะของคุณ Juth กันได้ในโพสต์ The Victoria and Albert Museum in London แต่คุณ Juth มีความผูกพันกับแวนโก๊ะห์มากเพราะเคยทำรายงานเกี่ยวกับประวัติและผลงานของแวนโก๊ะห์เมื่อสมัยเรียนศิลปกรรมค่ะ เอาเป็นว่า เราเข้าไปในงานนี้ แล้วก็ปล่อยคุณ Juth ไปดื่มด่ำกับงานนิทรรศการส่วน Knot ก็เก็บภาพมาฝากทุกท่านกันค่ะ
ผลงานของแวนโก๊ะห์นั้นจัดว่ามีอิทธิพลต่อโลกศิลปะในศตวรรษที่ 20 เป็นอย่างมาก ผลงานของเขาถูกจัดเก็บและจัดแสดงไว้ทั้งในพิพิธภัณฑ์ แกลอรี่ และคอลเลคชันส่วนตัว ทั้งในฝรั่งเศส อเมริกา เนเธอแลนด์ อังกฤษ รัสเซีย และประเทศอื่นๆ อีกมากมาย จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้ชมภาพเขียนของเขาในนิทรรศการเดียวกัน จะมีก็แค่นิทรรศการมัลติมีเดียที่สามารถทำเช่นนี้ได้ นิทรรศการ Van Gogh Life and Art จึงเป็นนิทรรศการที่จะพาทุกคนไปดื่มด่ำกับเรื่องราวชีวิตของศิลปินระดับปรมาจารย์ ผ่านคลังภาพที่จัดว่าครบที่สุด ตั้งแต่ภาพสเก็ตช์จากถ่าน ไปจนถึงชิ้นงานระดับมาสเตอร์พีซ จอภาพขนาดใหญ่ทำให้ผู้ชมสามารถเห็นและชื่นชมผลงานได้อย่างลึกซึ้งถึงระดับรอยแปรงพู่กัน นอกจากภาพวาดแล้วยังมีการนำข้อความบางส่วนบางตอนของจดหมายที่แวนโก๊ะห์ เขียนถึงธีโอ น้องชายผู้สนับสนุนแวนโก๊ะห์ทุกอย่างอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตของแวนโก๊ะห์ได้ลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก มานิทรรศการนี้เราได้ชมผลงานชิ้นเอกดังนี้
- Self-Portrait with Bandaged Ear
- The Starry Night
- Sunflowers
- Vincent’s Chair with His Pipe
- Bedroom in Arles
- Café Terrace at Night
Van Gogh Life and Art เปิดให้ชมตั้งแต่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2563 ที่ MODA Gallery ชั้น 2 อีกหนึ่งโปรเจ็คดีๆ จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลที่กรุงเทพ (MODA) โดย ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก สำหรับใครที่ยังไม่มีบัตร สามารถซื้อบัตรล่วงหน้าได้ที่ Zipevent หรือไม่ซื้อที่หน้างานเหมือน Knot และคุณ Juth ก็ได้ค่ะ
คำคมที่ไม่เคยล้าสมัย
“The Beginning is perhaps more difficult than anything else, but keep heart, it will turn out all right”
Vincent Van Gogh
ผู้จัดเลือกประโยคนี้ของแวนโก๊ะห์มาจัดวางไว้ตรงโถงทางเดินเข้างานค่ะ ซึ่งแปลว่า “จุดเริ่มต้นอาจจะยากกว่าสิ่งใต แต่จงมีกำลังใจไว้ แล้วทุกอย่างจะออกมาดีเอง” Knot ชอบแนวคิดที่ผู้จัดเลือกประโยคดี ๆ ที่เหมาะกับช่วงที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญกับความยากลำบากจาก Pandemic หรือการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ทำให้หลาย ๆ คนต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็น เริ่มวิถีการทำงานแบบใหม่ เริ่มใช้ Digital Tools มาช่วยในการทำงานและการสื่อสารระหว่างกันมากขึ้น บางคนอาจจะต้องเริ่มต้นอาชีพใหม่ ขอแค่เรามีใจ “Heart” คำนี้จริงๆ แปลความได้หลายอย่าง ทั้งมีกำลังใจ มีความตั้งใจ หรือใส่ใจ ในสิ่งที่เรากำลังจะทำ ทุกอย่างจะออกมาดีเองค่ะ ประโยคนี้ Van Gogh เขียนถึง Theo ตั้งแต่ปี 188x ร้อยกว่าปีผ่านไป ประโยคนี้ก็ยังใช้ได้กับสถานการณ์ปัจจุบันค่ะ อีกประโยคหนึ่งที่ผู้จัดได้นำมาวางไว้ให้ทุกคนที่เข้างานได้อ่านกันที่ Knot ชอบมาก ๆ เลยก็คือ
“What would life be if we had no courage to attempt anything?”
Vencent Van Gogh
ประโยคนี้แปลว่า “ชีวิตจะเป็นอย่างไร หากเราไม่มีความกล้าหาญที่จะพยายามทำสิ่งใดก็ตาม” ซึ่งผู้จัดได้เลือกประโยคนี้มาวางไว้เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้มองแวนโก๊ะห์ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นคนกล้าที่จะทำในสิ่งตนเองรัก แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงไรก็ตาม เค้ามิใช่คนเสียสติ แต่เป็นอัจฉริยะที่รู้ว่าตนเองชื่นชอบอะไร และพยายามทำตามความฝันของตนให้เป็นจริง
นอกจากสองประโยคนี้แล้ว ในส่วนของมัลติมีเดีย ผู้จัดยังได้นำประโยคอื่น ๆ จากจดหมายกว่า 800 ฉบับที่พี่ชายเขียนถึงน้องชายตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีของการเป็นศิลปินของแวนโก๊ะห์มาให้เราได้เรียนรู้ว่ากว่าจะมาเป็นอัจฉริยะชื่อก้องโลก เค้าต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง ซึ่งการเรียนรู้ผ่านชีวประวัติและผลงานของแวนโกะห์ในวันนี้ Knot ได้เรียนรู้ว่า อัจฉริยะสร้างได้ เพราะอัจฉริยะเกิดจากความชื่นชอบ หลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนกลายเป็นความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ดีที่สุดในด้านนั้น ๆ และไม่มีใครเกิดมาก็เป็นอัจฉริยะได้เลย ทุกคนต้องเรียนรู้ หากเราให้โอกาสในการเรียนรู้ เราก็จะมีอัจฉริยะได้มากมาย
ตามไปชมคลิปวิดีโอภายในงานนิทรรศการ Van Gogh Life and Art ได้ที่
Knot บันทึกภาพมาเป็นบางส่วนนะคะ อยากให้ทุกท่านได้ชมกัน แม้ช่วงนี้เราจะไม่ได้เดินทางไปยุโรป แต่ก็ยังมีการจัดนิทรรศการที่นำผลงานศิลปินชื่อดังชาวยุโรปมาให้เราชมกัน ซึ่งบรรยากาศภายในงานเหมือนที่เราไปเดินดูงานศิลปะเหล่านี้ที่พิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศเลยค่ะ เรียกว่าเที่ยวเมืองไทยเหมือนไปเมืองนอกกันเลยค่ะ Knot เปิดซีรี่ย์นี้ขึ้นมาสำหรับโพสต์ต่าง ๆ ที่ Knot จะพาทุกคนไปเที่ยวในประเทศไทย แต่บรรยากาศเหมือนไปต่างประเทศกันค่ะ
ซึ่งภาพของแวนโก๊ะห์ที่ Knot ชอบที่สุดจะมีอยู่สองภาพด้วยกัน คือ The Starry Night และ Sunflowers ค่ะ ซึ่ง Starry Night เป็นภาพที่แวนโก๊ะห์วาดในช่วงหลังจากที่เค้าไม่สบายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแล้วนะคะ การใช้สีและพู่กันจะมีความหนักหน่วงกว่าในช่วงที่เค้าย้ายไปอยู่ที่ Arles ใหม่ ๆ ก่อนที่จะมัปัญหาในการควบคุมอารมณ์ค่ะ ส่วนคุณ Juth ชอบรูป Bedroom in Arles ที่ผู้จัดได้นำมาจำลองเป็นห้องนอนจริง ๆ ให้เราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดนี้ได้ค่ะ Sunflowers และ Bedroom in Arles เป็นรูปที่แวนโก๊ะห์วาดขึ้นในช่วงที่เค้ามีความสุข สมดุลในชีวิต การใช้สีจึงมีความสดใส และวาดสิ่งของต่าง ๆ ให้มีคู่เสมอค่ะ
แวะช้อปของที่ระลึกกันสักนิด
หลังออกจากห้องนิทรรศการมัลติมีเดียแล้ว จะเห็นว่ามีภาพพิมพ์สีน้ำมันของแวนโก๊ะห์ติดไว้ตรงทางออกซึ่งมีชื่อและราคาติดไว้ด้วยนะคะ ภาพ Bedroom in Arles มีราคา 4,500 บาท ที่จำได้เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อให้คุณ Juth ค่ะ ราคาแอบสูงพอสมควรค่ะ แต่พอไปที่ร้านไม่เห็นภาพนี้เลยไม่ได้เสียเงินค่ะ ของที่ระลึกมีให้เลือกซื้อมากมาย แถมทันสมัยด้วยค่ะ คือมีมาส์กผ้ามาขายมีหลายลายให้เลือกด้วยค่ะ Knot ซื้อลาย Wheatfield with Cypresses มาค่ะ คุณ Juth ได้เสื้อลาย Starry Night มาด้วยค่ะ
Knot ขอจบโพสต์ “เที่ยวเมืองไทยเหมือนไปเมืองนอก” ตอนแรก Van Gogh Life and Art ที่ Moda Gallery, ริเวอร์ซิตี้ กรุงเทพฯ ไว้ตรงนี้นะคะ ขอบคุณทุกท่านและหวังว่าทุกท่านจะชอบนะคะ เดือนหน้า Knot และคุณ Juth จะพาทุกท่านไปชมงานนิทรรศการอีกหนึ่งงานซึ่งเป็นงานสไตล์ Pop Art ของ Andy Warhal ค่ะ ซึ่ง Knot และคุณ Juth เคยมีโอกาสได้ชมงานของเค้าเล็กๆ น้อยๆ ตอนไปเที่ยวอังกฤษทริปที่แล้วนะคะ งานของเค้าได้จัดแสดงที่ Victoria and Albert Museum ค่ะ สุดท้ายอย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และ Subscribe FB, IG, YouTube: Trips in My Memory หรือฝากความคิดเห็นถึงกันได้นะคะ จะได้ไม่พลาดโพสต์ต่อไปของ Knot ค่ะ