Day trip จากเอเธนส์ ถึงเมเตโอร่า
เที่ยว Meteora Greece เมเตโอร่า เมเทโอร่า หรือ Meteora เป็นภูเขาหินสูงตระการตาและเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ หรือ Monastery ทั้งหมด 6 แห่ง มีพระและแม่ชีจำวัตรอยู่ไม่มากนัก แต่มีความสวยงามอลังการมาก
ก่อนจะมา Knot เข้าใจว่าเมเตโอร่าเป็นชื่อเมือง แต่มารู้ที่หลังว่าไม่ใช่ แต่เป็นชื่อภูเขาและสำนักสงฆ์ การมาเยือนเมเตโอร่าในครั้งนี้ เป็นเพราะพี่คนหนึ่งในแก๊ง อยากมาเที่ยวชมที่นี่มาก อีกทั้ง เมเตโอร่ายังเป็นหนึ่งมรดกโลกซึ่งจัดโดย UNESCO การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางสั้นๆ แบบ Day trip จากเอเธนส์มาเมเตโอร่า และกลับไปพักที่เอเธนส์
การเดินทาง
เมเตโอร่าตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองกาลาบาก้า หรือ Kalabaka เพียงไม่กี่กิโลเมตร การเดินทางมาที่นี่ สามารถเลือกได้ทั้งโดยรถไฟ รถยนต์ หรือรถบัส ด้วยระยะเวลาการเดินทางที่แตกต่างกัน รถไฟและรถยนต์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. แต่รถบัสจะใช้เวลาประมาณ 6 ชม. ด้วยเวลาที่จำกัดและจำนวนคนของเรา เราจึงเลือกเดินทางโดยรถไฟ โดยเราตรวจสอบตารางรถไฟจากเว็บไซต์ Meteora.com ซึ่ง รถไฟมีไปกลับวันละ 1 เที่ยวค่ะ คือ ขาไปเช้ามากออกจากสถานีรถไฟเอเธนส์ ประมาณ 8 โมงเช้า ไปถึง กาลาบาก้า ประมาณเที่ยง รถไฟเที่ยวกลับเอเธนส์ ออกเวลา 4 โมงกว่าๆ ซึ่งเราจะมีเวลาเที่ยวประมาณ 3 ชม. ซึ่งน่าเพียงพอแล้วกับการเที่ยวที่นี่ ตั๋วรถไฟไม่จำเป็นต้องซื้อล่วงหน้า สามารถไปซื้อที่สถานีรถไฟได้เลยค่ะ เที่ยวละ 18.30 ยูโร ไปกลับก็ประมาณ 40 ยูโรต่อคน เราตัดสินใจกันว่าไปซื้อที่สถานีรถไฟวันเดินทางกันเลยสะดวกดีค่ะ
การผจญภัยของ Knot & The Gangs
ตอนเช้าเราเดินจากที่พักไปสถานีรถไฟใช้เวลาประมาณ 15 นาที (ที่พัก Knot จองผ่านทาง Booking.com ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ วันหลังจะมาเล่าวิธีการเลือกที่พักให้ฟังกันค่ะ) ไปถึงสถานีรถไฟประมาณ 8 โมงเช้า เราก็ไปซื้อตั๋วรถไฟ บอกเจ้าหน้าที่ว่าขอซื้อ Return Tickets คือจะซื้อแบบไปกลับนะคะ แต่ที่ได้มาเป็นขาเดียวค่ะ เราก็อ้าวทำไมขายแบบนี้ละคะ เพราะปกติที่อื่นซื้อไป-กลับจะถูกกว่า เจ้าหน้าที่บอกมีค่าเท่ากัน จะกลับค่อยซื้อก็ได้
ซื้อตั๋วเสร็จ มีเวลาเหลือเล็กน้อย ประมาณ 20 นาที เราก็ไปหาของกินค่ะ มีคาเฟ่ในสถานีรถไฟชื่อ Everest เราก็เข้าไปซื้อกาแฟ แซนวิช ขนมปัง เป็นเสบียงสำหรับอาหารเช้าของเรา จากนั้นเราก็เดินไปขึ้นรถไฟ ตู้รถไฟที่นี่ยังเพ้นต์ด้วย Graffiti ด้วยนะคะ คิดว่าเป็นสไตล์ของเค้า ขึ้นรถไฟ ตั๋วที่ได้มาที่นั่งกระจัดกระจายมาก เราก็นั่งตามที่ที่เค้าจองมาให้ สักพักก็เริ่มหาทางมานั่งด้วยกัน คนกรีกน่ารักนะคะ เค้าพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้ แต่พยายามเข้าใจพวกเรากันมากมาย
เนื่องจากตื่นเช้ากันมาก ต่างกันก็ต่างหลับกันไป แซนวิชที่ซื้อมาก็กินไปบ้างเหลือบ้าง รถไฟออกจากชานชาลา วิ่งไปเรื่อยๆ เราก็ต่างคนต่างหลับ รถไฟวิ่งออกมาสักพักใหญ่ๆ ก็ไฟดับ ไฟตก เจ้าหน้าที่วิ่งมาเปิดตู้ไฟทำอะไรสักอย่าง ทุกอย่างก็กลับมาปกติ รถก็วิ่งต่อไป สักพักมีจอด จนกระทั่งเวลาประมาณเที่ยง ซึ่งเราควรจะถึง Kalabaka แล้ว พวกเราก็ตื่นเพราะความหิวด้วย พบว่ารถไฟจอดอยู่บนเขานิ่งๆ มีประกาศอะไรสักอย่างที่เราไม่เข้าใจ คนบนรถไฟชิลมาก ออกไปเดินเล่นนอกรถ เนื่องจากไฟดับ แอร์ไม่ทำงาน อากาศก็ร้อนมาก พวกเราก็ถามคุณป้าที่นั่งใกล้ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น คำตอบที่ได้ คือ รถเสียค่ะ ต้องรอ 30 นาที จะมีหัวรถจักรใหม่มาเปลี่ยน เราฟังก็โอเค คงไม่มีอะไร เพราะ เรามาแล้วนี่ รถไฟดีเลย์ก็ดีเลย์
คุยเล่นกันไปสักพัก หัวจักรมาเปลี่ยน ลากเราย้อนหลัง เราก็อ้าวทำไมเป็นแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น สรุป คือ เค้าซ่อมไม่ได้ ต้องเอารถไฟกลับเข้าสถานี เมื่อถึงสถานีทุกคนก็รออยู่บนรถ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราหิว ก็เดินไปตู้เสบียง ได้โคล่ากรีกมาหนึ่งกระป๋อง แซนวืชอีกสองอัน มาแบ่งกันกิน ปะทังชีวิตกันไป จากแผนที่จะถึงเที่ยง บ่ายสองยังอยู่บนรถไฟเลย
เราก็เริ่มคุยกันว่าจะเอายังไง เพราะถ้าไปถึงเราอาจจะต้องกลับเลยนะ ไม่มีเวลาเที่ยว จะค้างที่เมเตโอร่ากันไหม สรุปก็คือว่า เราจะลองหาทางอื่นกลับเอเธนส์ ในคืนนั้น ไม่ค้างเพราะไม่มีที่พักและไม่ได้เตรียมอะไรมากันเลย
พักใหญ่ๆ รถไฟก็ประกาศอะไรสักอย่าง คนลงจากรถไฟไปรอที่สถานีกัน เราก็ไปกับเค้าด้วย คุณป้าบอกเราว่า เค้าจะเอารถบัสมารับเราไปส่งที่กาลาบาก้าแทน Oh my god วันนี้พวกเราออกเดินกันด้วยเท้าอะไรเนี่ย เราไปถามเจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟ ว่าถ้าไปรถบัสจะถึงกี่โมง คำตอบคือ สี่โมงกว่าๆ ทันรถไฟขากลับพอดีค่ะ เอิ่มคือไปถึงแล้วกลับเลย จะไปทำไมคะ นั่นคือคำถามของเรา ระหว่างที่เรากำลังคิดกันว่าจะเอายังไง คุณป้าก็เดินมาตาม บอกว่าถ้าพวกเธอจะไป กาลาบาก้า รถบัสคันสุดท้ายจะออกแล้ว ไปขึ้นเดี๋ยวนี้ คือคุณป้าจองที่ให้เราแล้ว เพราะรถไม่พอคน ยังเหลืออีกเพียบเลย
เราก็ไปกับเค้า ระหว่างนั่งรถก็โทรหาคนขายตั๋วรถบัส (หาเบอร์จากอากู๋ค่ะ) หารถกลับเอเธนส์ เลยได้ตั๋วเที่ยวสุดท้ายออกห้าทุ่มครั้งค่ะ ถึงเอเธนส์ ตอนตีห้า เราก็ต้องไปเนอะ นั่งรถบัสไปถึงสี่โมงกว่า เกือบๆ ห้าโมงค่ะ ไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย (คิดว่าที่ไม่มีเพราะรถไฟขามามาไม่ถึง)
เมื่อมาถึงรถมาจอดที่สถานีรถไฟ เราได้เห็นภาพของเมเตโอร่า สวยงามตระการตา ก็คิดว่าคุ้มแล้วที่ดั้นด้นมา
เหมารถแท็กซี่เที่ยว – เหมือนได้ไกด์พร้อมช่างภาพ
เมื่อรถบัสส่งพวกเราที่หน้าสถานีรถไฟ แล้วก็จากไป ผู้คนก็หายไปด้วยเช่นกัน เราก็เอาไงดีเนี่ย แต่ต้องไปซื้อตั๋วรถขากลับก่อน ก็เดินไปค่ะ หา Bus station ไม่ไกลค่ะ แต่อากาศร้อนมากมาย เดินประมาณ 20 นาทีถึงเพราะเราหลงทางด้วยค่ะ ร้านรวงต่างๆ เปิดน้อยมากจนเรางงว่าเกิดอะไรขึ้น ไปถึงสถานีรถบัส ซื้อตั๋วขากลับ เสร็จ เราก็เดินกลับไปสถานีรถไฟ คิดว่าจะไปหารถขึ้นไปเที่ยว เราก็ได้ Taxi หลงผิดมาหนึ่งคัน เจรจาต่อรองเหมากันคันละ 20 ยูโร พวกเรา 8 คน ต้องใช้สองคัน พี่แท็กซี่ก็เรียกเพื่อนมาอีกคัน รับปากว่าจะพาเราเที่ยว Monastery แต่อาจจะเข้าไม่ได้นะเพราะเลยเวลาเปิดแล้ว เราก็โอเคไม่เป็นไร เอาเท่าที่ได้ก็ยังดี คิดกันว่าค่อยมาซ่อมวันหลัง ปรากฎว่า คุณพี่คนขับพาเราเที่ยวชมทุกจุดเลยค่ะ ได้เข้าสำนักสงฆ์อันใหญ่สุด เดินปีนบันได ข้ามสะพาน สุดเสียวกันขึ้นไป สวยงามจริงๆ ค่ะ ภาพที่เก็บมาได้ยังไม่สวยเท่าของจริงค่ะ
จากจุดแรก คนขับก็พาเราขับลัดเลาะตามไหล่เขาขึ้นไปสู่ยอดเขา จอดให้เราหยุดชักภาพเป็นระยะๆ ที่สุดยอดคือทุกครั้งที่จอดถ่ายรูป คุณพี่เค้าจะต้องมาช่วยถ่ายรูปหมู่ให้พวกเรา ขอบอกว่า วันนี้เป็นวันที่เรามีรูปหมู่กันเยอะที่สุด เรียกว่าทุกจุด ทุกมุมไฮไลต์กันเลยทีเดียว
นอกจากจะเป็นคนถ่ายรูปให้เราแล้ว ยังเป็นคนช่วยกันฝูงชนออกจากภาพพวกเราด้วยค่ะ พี่คนขับยังเป็นไกด์จะเป็นเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เราฟังเกี่ยวกับสำนักสงฆ์แห่งนี้ด้วย ไปเจรจาขอให้พวกเราได้เข้าไปถ่ายรูปสำนักสงฆ์จากสะพานของสำนักสงฆ์อีกแห่งหนึ่งด้วย
เพราะเราเริ่มเดินทางเที่ยวกันประมาณ 5 โมงเย็น อากาศก็เลยไม่ร้อนมาก แถมขึ้นเขาก็มีลมเย็นๆ โชยมาให้พอหนาวนิดๆ ถือเป็นโชคดีของเราในวันนี้ ที่ได้เที่ยวชมสำนักสงฆ์ Meteora แบบไม่ร้อน แสงกำลังดี ภาพจึงออกมาค่อนข้างสวย
หินก้อนใหญ่ หรือ Gigantic rocks ที่ทำให้เทือกเขา Meteora ได้เป็นหนึ่งในมรดกโลก ด้วยความมหัศจรรย์ที่มนุษย์สมัยก่อนสามารถขึ้นมาสร้างสำนักสงฆ์บนยอดเขาแห่งนี้ได้
Sunset over the Gigantic Rocks of Meteora Mt.
เวลาผ่านไปคนขับก็เริ่มไล่เราให้เร็ว เร่งเรามากมาย เราก็ทำไมหว่า เราจะรอถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน สรุป ก็คือ เค้าจะพาเราไปที่จุดชมวิวพาโนราม่าเพื่อดูพระอาทิตย์ตก ถ้าไปช้าเราจะไม่มีที่นั่ง แต่เนื่องจากภาษาอังกฤษเค้าก็ไม่ค่อยได้ เราไม่ได้ภาษากรีกเลย ก็เลยคุยกันแบบงงๆ แต่เราก็ไปทันชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมากมาย
อาหารการกิน
ต้องบอกว่าเป็นอาหารมื้อจริงจังมื้อแรกของวันนี้ คนขับแท็กซี่พาเราไปร้านอาหารท้องถิ่นที่รับประกันความอร่อย ซึ่งขอบอกว่าอร่อยจริงยกเว้น Green Salad ที่เหม็นเขียวมากค่ะ จานอื่นอร่อยมากจนมีการสั่งซ้ำ คือ หมูย่างและแกะย่าง พวกเราหิวกันมากเพราะตั้งแต่เช้ากินกันมาคนละนิดคนละหน่อย ผลไม้ที่พกกันมาหมดตั้งแต่อยู่บนรถไฟแล้ว
หลังอาหารเย็น เราได้พบว่าเมืองที่เมื่อเย็นไม่มีอะไรเลย เงียบมากมาย มีแสงสีมากขึ้น ร้านอาหาร ร้านค้า ร้านเหล้า เปิดให้บริการกันมากมาย เรารับประทานอาหารเย็นกันจนถึงสามทุ่มกว่าๆ ก็ไปนั่งร้านเบียร์ Knot สั่งขนมหวานกับชาร้อนมา เพราะค่ำๆ อากาศเริ่มหนาวแล้ว เราไม่ได้เตรียมเครื่องกันหนาวกันมาเลย เพราะไม่คิดว่าจะอยู่ถึงค่ำมืดขนาดนี้ ทานขนมไปจนเกือบห้าทุ่ม เราก็เดินไปสถานีรถบัสเพื่อขึ้นรถกลับเอเธนส์
แมวกรีก – Greek Cats
มาเที่ยวครั้งนี้ สัตว์เลี้ยงที่พบเจอมากที่สุด แทบจะเป็นอย่างเดียวที่พบ ก็คือ แมว หรือ Greek Cats ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศ และมีการทำเป็นของที่ระลึกขายกันมากมายหลายรูปแบบ Knot เลยเก็บภาพ น้องแมวน่ารักๆ มาฝากกันค่ะ ตัวแรกเป็นแมวอ้วนที่ไม่ว่ายังไงก็จะนอนท่านี้
ตัวที่สองเป็นแมวนางแบบ คือโพสต์ท่าเก่งมากมาย เดินกรีดกรายให้ถ่ายรูป และหยุดโพสต์ท่าประหนึ่งรู้ว่าเราจะถ่ายรูป
หลังจากขึ้นรถบัสตอนห้าทุ่มครึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราต้องไปเปลี่ยนรถ จาก Kalabaka ไป Athens เปลี่ยนรถ 1 ครั้ง รอ 2 ชม. ยังดีที่สถานีรถที่ไปต่อมีที่ให้เรานอนรอได้ และมีคนมาตามพวกเราขึ้นรถ ต้องบอกว่าพนักงานเค้าบริการดีมากค่ะ อาจจะเพราะเห็นว่าเราไม่ค่อยรู้อะไร พูดกรีกก็ไม่ได้ เลยคอยเรียกคอยตามค่ะ ตู้กดน้ำ กดขนมมีให้ใช้บริการได้ตลอดทุกสถานี พวกเราก็เลยไม่หิวกันค่ะ
เดินทางกลับถึงเอเธนส์ ตอนตีห้านั่งแท็กซี่กลับที่พัก คันละ 5 ยูโร ถือว่าไม่แพงเลยค่ะ เพราะถ้าเดินพวกเราคงหลับในและหลงทางอีกมากมาย บางคนบอกว่าระวังโดนหลอก โดนโกง Knot ขอบอกว่าคนกรีกจริงๆ น่ารักนะคะ มิจฉาชีพมีอยู่ทุกประเทศ เราต้องระวังตนเอง ไม่แต่งตัวล่อแหลม ไม่ใส่ของมีค่า เครื่องประดับแพงๆ ไม่พกเงินเยอะ ก็เดินทางกันได้อย่างปลอดภัยค่ะ แก๊งเราสาวๆ เยอะค่ะ มีหนุ่มไปด้วยแค่ 2 คน เราจึงไม่ประมาทกัน
หนึ่งวันกับเมเตโอร่าก็จบลงด้วยความอ่อนเพลียของพวกเรา แต่คุ้มค่าอย่างยิ่งกับความสวยงามที่ได้เห็น หากมีโอกาสจะไปพักค้างคืนที่กาลาบาก้าเพื่อเที่ยวชิลที่เมเตโอร่าอีกสักครั้ง หวังว่าทุกคนจะมาร่วมเดินทางผจญภัยกับ Knot ในทริปต่อๆ ไปได้ที่บล็อกนี้ หรือเพจ @tripsinmymemory