Arrived at My second home: Bath

ช้อปปิ้ง อังกฤษ bath หรือ บาธ เป็นเมืองชนบท ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านน้ำพุร้อน หรือ Hot Spring ซึ่งชาวโรมันโบราณได้มาสร้างโรงอาบน้ำสาธารณะ หรือที่เรียกกันมา Roman Bath ซึ่งยังมีซากโบราณสถานไว้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยงสำคัญของเมือง

สำหรับ Knot บาธเป็นเสมือนบ้านหลังที่สอง หลังแรกคือบ้านเกิดเมืองนอนที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี หลังที่สามคงจะเป็น Starbucks ทุกแห่งทั่วโลก

Knot

เนื่องจาก Knot มีโอกาสไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่ Bath อยู่นานถึง 5 ปี (กลับบ้านหลังแรกทุกปี) กลับมาคราวนี้จึงเหมือนได้มาเยี่ยมบ้าน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้น ตลอดระยะเวลา 10 ปี นับจากเรียนจบ Knot มีโอกาสกลับมาบาธทั้งหมด 3 ครั้งค่ะ ทุกครั้งที่มาก็จะพบว่าบาธเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นมากค่ะ โพสต์นี้ Knot จะขอเล่าท้าวความตั้งแต่ประวัติเมือง Bath แหล่งท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยที่ Knot เรียน และมาถึงเป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ คือ ช้อปปิ้ง ปิดท้ายที่การเดินทางภายในเมืองบาธค่ะ

ประวัติศาสตร์เมือง Bath – เมืองมรดกโลก

บาธ หรือ Bath ได้รับการจัดให้เป็นเมืองมรดกโลกโดย UNESCO ลำดับที่ 428 เมืองบาธเดิมสร้างขึ้นโดยชาวโรมันเพื่อเป็น Thermal spa หรือ โรงอาบน้ำสาธารณะสำหรับชาวโรมันชั้นสูงนั่นเอง ต่อมาในยุคกลาง หรือ Middle Age, บาธ ได้รับการพัฒนาเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมขนสัตว์ และในยุคศตวรรษที่ 18 ภายใต้การปกครองของพระเจ้าจอร๋จที่สาม (George III) Bath ได้รับการพัฒนาจนเป็นเมืองตากอากาศสำหรับขุนนางและเหล่าชนชั้นสูงของอังกฤษ ด้วยการก่อสร้างอาคารในรูปแบบ Neoclassical Palladian buildings ซึ่งเข้ากันได้ดีกับ Roman baths ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ของเมืองที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน และอาคารสำคัญเหล่านั้นยังคงได้รับการอนุรักษ์และบูรณะไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและที่อยู่อาศัยของผู้คนในเมืองนี้จนถึงทุกวันนี้ อาคารใหม่ๆ ที่สร้างขึ้น ก็ยังสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิม เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ และสวยงามของเมืองบาธแห่งนี้ สำหรับ Knot ที่มีโอกาสได้เดินทางมาเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนี้นานถึง 5 ปี ก็บอกได้ว่าเมืองนี้มีความหรูหราแบบคลาสสิค คงความเป็นผู้ดีอังกฤษไว้ให้เราได้เรียนรู้เป็นอย่างมาก ผู้คนส่วนใหญ่น่ารัก ไม่มีการแบ่งแยกสีผิว ให้การต้อนรับนักศึกษาต่างชาติเป็นอย่างดี จนทำให้ Bath กลายเป็นบ้านหลังที่สองของ Knot เลยทีเดียว ต่อไป Knot จะพาไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่ห้ามพลาดหากได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมเมืองนี้ค่ะ

Bath

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ

แหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ Knot ชื่นชอบและอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก และหากได้มาเที่ยว Bath อยากให้แวะชมกันค่ะ ทั้งหมดมีด้วยการ 6 จุด ตามตัวเลขที่เขียนไว้ในแผนที่เลยค่ะ Knot เลือกที่จะใช้แผนที่ในการนำเสนอเนื่องจากจริงๆ แล้ว ทุกจุดสามารถเดินเที่ยวได้ค่ะ หากจะเดินเที่ยวทุกแห่ง จะใช้เวลาเดินไม่เกิน 1 วันค่ะ (สามารถเดินครึ่งวันได้หากไม่แวะชิวนานมากนัก) แต่ละจุดห่างกันไม่เกิน 5-10 นาทีค่ะ

1. Royal Crescent และ Royal Victoria Park

รอยัล เครสเซนต์ และรอยัล วิคตอเรีย ปาร์ค เป็นจุดที่ไกลจากตัวเมืองมากที่จุดจากทั้งหมด 6 จุดค่ะ หากเดินจากตัวเมืองเริ่มที่ Bath Abbey หรือ Roman Baths เดินขึ้นทาง Union Street ผ่าน ร้าน WhSmiths, Jo Malone, Gaps ขึ้นไปทาง Milsom Street เดินตรงไปจนสุดถนนเลี้ยวซ้ายไปตาม George Street เลี้ยวขวาที่ Gay Street ตรงไปจะถึง The Circus แล้วเลี้ยวซ้าย ไปทาง Brock Street จะถึง Royal Crescent ค่ะ ทั้งหมดนี้เดินไม่เกิน 15 นาที แบบชิวๆ แชะๆ นะคะ เส้นทางนี้ผ่านถนนช้อปปิ้งหลักของเมืองนะคะ เดินๆ ไปาจเผลอหยุดช้อปร้านรวงต่างๆ มากมายได้ค่ะ

Royal Crescent
Royal Crescent

รอยัล เครสเซนต์ หรือ Royal Crescent เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญแห่งหนึ่งของ Bath เป็นอาคารรูปพระจันทร์เสี้ยว สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1767 ถึง 1775 ออกแบบโดย John Wood the Younger เป็นสถาปัตยกรรมยุคจอร์เจียนที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร

วันที่ 19 พ.ค. 2017 Royal Crescent สร้างมาครบ 250 ปี นับจากวันที่เริ่มก่อสร้างบ้านเลขที่ 1 ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวการสร้างอาคารชุดนี้ ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ Royal Crescent เป็นอาคารที่แสดงออกถึงนวัตกรรมการออกแบบ เอกลักษณ์ทางสังคม และจินตนาการของคนอังกฤษในยุคจอร์เจียได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบัน Royal Crescent บางส่วนเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาว พิพิธภัณฑ์ และที่อยู่อาศัยของคนทั่วไป รวมถึง Celebrities คนดังของ Hollywood ด้วย บางวันเดินๆ อยู่ในเมืองก็อาจกระทบไหล่คนดังนะคะ

มองลงไปจาก Royal Crescent จะเห็น Royal Victoria Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่มาก หากเดินทั่วจะเหนื่อยค่ะ หากเป็นวันที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน จะมีคนมานั่งอ่านหนังสือ เด็กๆ มาวิ่งเล่นกัน พาสุนัขมาเดินเล่น หรือมาเล่นมินิกอล์ฟกันก็ได้ค่ะ Knot ชอบมานั่งอ่านหนังสือที่สวนสาธารณะมากค่ะ

นอกจากนี้ เราจะเห็น Royal Crescent ปรากฎในภาพยนตร์ Hollywood ชื่อดังหลายเรื่องค่ะ โดยเฉพาะหนังหรือละครย้อนยุค ทั้ง Persuasion และ The Duchess

2. The Circus and the Assembly Room

เมื่อเที่ยว Royal Crescent แล้ว ก็เดินย้อนกลับมาที่ The Circus ซึ่งเป็นอาคารโค้ง รอบต้นไม้ขนาดใหญ่ อย่าลืมไปยืนใต้ต้นไม้แล้ว Make a Wish นะคะ จริงๆ คือให้ไปยืนใต้ต้นไม้แล้วมองรอบๆ The Circus จะเห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมที่คนยุคศตวรรษที่ 18 สร้างสรรค์ไว้ค่ะ เค้าไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน แต่เค้าสามารถสร้างอาคารโค้งได้สวยงามมาก นอกจาก The Circus แล้ว ที่ Bath ยังมี Queen’s Square [อาคารรอบก็จะเป็นสี่เหลี่ยม] ซึ่งอยู่สุดถนน Gay Street เส้นที่เดินผ่านตอนขึ้นมา The Circus ค่ะ แสดงให้เห็นว่า คนในยุคนั้น คงชอบเรขาคณิตค่ะ สร้างเป็น วงกลม ครึ่งวงกลม และสี่เหลี่ยม เป็นต้น

The Circus

The Circus เดิมชื่อ The King’s Circus เป็นทาวน์เฮ้าส์ติดกันเป็นรูปโค้ง ประกอบกันเป็นวงกลมค่ะ ซึ่งได้รับการออกแบบโดย John Wood the Elder คนเดียวกับที่ออกแบบ Queen Square น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตก่อนที่จะสร้างเสร็จเพียงสามเดือนเท่านั้น The Circus เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1754 ลูกชายของเขา John Wood the Younger (คนที่ออกแบบ Royal Crescent) เป็นผู้สานต่อและสร้างเสร็จในปี 1768

The Circus สร้างขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Roman Colosseum แม้ว่า The Circus จะสร้างให้มองเห็นจากด้านใน แทนที่จะมองเห็ฯจากด้านนอกซึ่งเป็นอบบของ Colosseum หากได้มาเยือน Knot อยากให้มองสัญลักษณ์ต่างๆ รูปสลักหินต่างๆ ซึ่งสวยงามและมีความหมายมากมาย Walcots Street เป็นอีกถนนที่หากมีเวลา Knot อยากให้คนที่สนใจเรื่องรูปสลักไปชมรูปสลักหินโบราณมากมาย

ในอดีตพื้นที่สีเขียวใต้ต้นไม้ตรงกลาง The Circus เคยเป็นอ่างเก็บน้ำสำหรับที่อยู่อาศัยรอบ The Circus ต่อมาได้กลายเป็นสวนสำหรับผู้อยู่อาศัยในศตวรรษที่ 18

The Circus ยังเป็นบ้านของคนดังมากมายหลายยุคหลายสมัย เช่น ศิลปิน Thomas Gainsborough อยู่ที่บ้านเลขที่ 17 ในช่วงปี ค.ศ. 1744 ถึง 1758 ใช้บ้านนี้เป็นสตูดิโอวาดภาพของเขา ปัจจุบันนักแสดง Hollywood ชื่อดัง Nicholas Cage ก็อยู่ที่ The Circus

จาก The Circus เลี้ยวไปทางขวาบนถนน Bennett Street จะเจอ The Assembly Rooms ซึ่งมี Costume Museum หรือพิพิธภัณฑ์เครื่องแต่งกาย ข้างในมีการจัดแสดงเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของคนอังกฤษ ตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงเครื่องแต่งกายของเจ้าหญิงไดอาน่า และคนดังในยุดต่างๆ ให้เราได้เรียนรู้มากมาย

จากที่มีโอกาสได้เข้าไปชม ได้เรียนรู้ว่า คนอังกฤษโบราณตัวไม่สูงนะคะ พอๆ กับคนไทยทั่วไป ผู้หญิงจะแต่งตัวลำบากมาก คือ เน้นรัดเอวให้กิ่วคอด และใส่กระโปรงบานเป็นสุ่ม เหมือนที่เราเห็นในหนังพีเรียดค่ะ หมวกและพัดเป็นเครื่องแต่งกายอีกชิ้นที่สำคัญมากสำหรับผู้ดีอังกฤษ ไปออกงานหมวกต้องเลิศและเด่นที่สุด พัดก็เช่นกัน

Assembly Room ยังเป็นสถานที่จัดงานรับปริญญาช่วงฤดูหนาว หรือ Winter Graduation Ceremony ของ University of Bath ด้วยค่ะ นักศึกษาปริญญาโทส่วนใหญ่จบและรับปริญญากันช่วงนี้ค่ะ

Hall

3. Bath Abbey และ Roman Baths

Bath Abbey เป็นโบสถ์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบาธ ด้านในเป็นกระจกบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของพระเยซูเจ้า เป็นสถานที่ฝังศพของคนดังมากมาย นับตั้งแต่สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 757 Bath Abbey เป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ มาแล้วสามนิกาย ได้แก่ Anglo-Saxon Abbey Church ซึ่งถูกเปลี่ยนในปี ค.ศ.1066 เป็นโบสถ์ของนิกายนอร์มัน หรือ Norman cathedral หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1499 ได้ถูกบูรณะให้เป็น Abbey Church ซึ่งเป็นโบสถ์ยุคกลางแห่งสุดท้ายของ Churches of England

Bath Abbey
Bath Abbey

เราสามารถเดินเข้าไปเที่ยวชม Abbey ได้โดยไม่เสียค่าเข้านะคะ แต่จะมีการขอให้บริจาคตามศรัทธาค่ะ หากมีเวลาและ Abbey ไม่มีพิธิกรรม ขอแนะนำให้เข้าไปชมด้านในกันนะคะ

Bath Abbey
Bath Abbey

Bath Abbey ยังเป็นสถาที่จัดงานรับปริญญาช่วงฤดูร้อน หรือ Summer Graduation Ceremony ของ University of Bath ด้วยค่ะ Knot ก็รับปริญญาที่นี่ค่ะ พิธิการเริ่มจากนักศึกษาตั้งขบวนเดินจาก Guild Hall (เทศบาลเมืองบาธ) เดินเข้าไปนั่งใน Abbey แล้ว พิธีการก็จะเริ่มขึ้นค่ะ ค่อนข้างจะแปลกกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะจัดที่ Hall ในมหาวิทยาลัยของตนเอง และผู้พระราชทานปริญญาบัตรเป็นเจ้าชายของอังกฤษนะคะ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นเจ้าชายน้องเจ้าฟ้าชายชาร์ลค่ะ แต่ปี 2017 ทางมหาวิทยาลัยย้ายไปจัดที่ Theatre Royal ซึ่งใหญ่กว่า เพื่อรองรับจำนวนนักศึกษาที่มากขึ้น และ Abbey มีการบูรณะภายในค่ะ

เดินออกมาด้านหน้าของ Abbey ก็จะเจอ Roman Bath หรือถ้าเดินเข้ามาด้านใน Roman Bath ก็จะมองเห็น Abbey เช่นกันค่ะ Roman Bath เป็นสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดของ Bath นะคะ ชื่อเมืองก็บอกแล้วเนอะ ตอนเป็นนักศึกษาเข้าที่นี่ไม่เสียสตางค์นะคะ แต่พอกลับมาเที่ยวต้องจ่ายเต็มคนละ 12 ปอนด์ เข้าไปข้างในขอบอกว่าคุ้มมากนะคะ เค้าจัดแสดงภาพจำลองของ Roman Bath และการใช้ชีวิตของคน Roman ให้เราได้เห็น และทึ่งกับการออกแบบและก่อสร้างของคนโรมัน มีการบำบัดน้ำเสียมาตั้งแต่สมัยโบราณกันเลยค่ะ บ่อน้ำที่เห็นเป็นน้ำร้อนนะคะ หากไปหน้าหนาวจะมีควันลอยขึ้นจากน้ำให้เราเห็นกันเลยค่ะ

Roman Bath
Roman Bath
Roman Bath

เมื่อซื้อตั๋ว รับ Audio Guide ซึ่งไม่มีภาษาไทยให้เลือกค่ะ เราก็เลือกภาษาอังกฤษ แม้เจ้าหน้าที่จะมองๆ เสนอภาษาจีน หรือญี่ปุ่นให้เราก็ตาม กดหมายเลขต่างๆ ตามที่แสดงแต่ละจุด เราก็จะได้รับฟังคำบรรยายแนะนำสถานที่ และสิ่งต่างๆ ภายใน Roman Bath เมื่อเราเข้าไปจะเป็นชั้นสองนะคะ เพราะพื้นดินเดิมของ Roman Bath อยู่ต่ำลงไปเกือบ 1 ชั้นเลยค่ะ เข้าไปด้านในทางเดินก็จะพาเราออกด้านนอกซึ่งเป็นระเบียงรอบบ่อน้ำ ที่มีรูปปั้นเทพเจ้าตั้งอยู่มากมาย ส่วนมากเป็นรูปปั้นที่ปั้นขึ้นมาใหม่ให้เหมือนของเดิม โดยอ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และข้อสัณนิษฐานของนักโบราณคดีค่ะ

Tickets

จากระเบียงชั้นสองพอเดินเข้ามาในตัวอาคารก็จะเป็นการลงบันได เพื่อไปพบกับนิทรรศการการจัดแสดงภาพหน้าบรรพ์ของโบสถ์ของเทพเจ้าอคาซูลิส (Aquasulis) เทพเจ้าแห่งน้ำ ที่ชาวโรมันโบราณสร้างถวาย สัญลักษณ์ของเทพเจ้าองค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของ University of Bath ด้วยค่ะ ชาวโรมันมีความเชื่อว่าหากได้ดื่มน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ โรคภัยใดๆ ที่มีจะหายค่ะ หากสนใจไปดื่มได้ที่ Pump Room ค่ะ เค้าให้ดื่มฟรีค่ะ

Aquasulis
Roman Bath
Roman Bath
Knot @Roman Bath in Winter 2016

เมื่อเราเดินไปในห้องต่างๆ จะเห็นว่ามีบ่อน้ำหลายบ่อ แบ่งเห็นห้องๆ แต่ละห้องจะมีวีดีทรรศ์แสดงภาพจำลองให้เห็นว่าใช้ทำอะไรบ้างในสมัยโรมันค่ะ ที่ได้เรียนรู้อีกอย่างคือ Roman Bath มีแต่ผู้ชายนะคะ ทั้งคนมาใช้บริการและคนให้บริการค่ะ

Bath Waters
Aquasulis

4. Sally Lunn’s Historic Eating House & Museum

Sally Lunn’s

Sally Lunn’s เป็นร้านอาหารในท้องถิ่นที่เก่าแก่ที่สุดใน Bath สร้างในปี ค.ศ. 1482 ให้บริการอาหารที่เป็น Signature ของเมืองคือ the Original ‘Sally Lunn’ Bun เป็นขนมปังก้อนที่เอามาใช้เป็นฐานท็อปหน้าด้วยอาหารคาวหวานหลากหลาย โดยมีประวัติเล่าว่า Sally Lunn เป็นผู้อพยพชาวฝรั่งเศสมายังเมืองบาธเมื่อปี ค.ศ.1680 และได้เปิดร้านขายขนมปัง ณ ตอนนั้น ปัจจุบัน Sally Lunn’s ให้บริการอาหารคาวหวานโดยใช้ขนมปัง ‘Sally Lunn’ Bun เป็นฐานตลอดวัน และเป็นร้านอาหารสไตล์อังกฤษแท้สำหรับมื้อค่ำ และยังมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงห้องครัวที่ Sally Lunn ใช้อีกด้วย

Sally Lunn’s

ร้านนี้เป็นร้านโปรดของ Knot ที่จะไม่พลาดทุกครั้งที่ได้มีโอกาสกลับไป Bath คือ Sally Lunn’s Cream Tea ซึ่งเป็นของหวาน ขนมปังบันเสิร์ฟพร้อม Cottage Cream และแยมสตอร์เบอรี่แบบโฮมเมด และชาสูตร Sally Lunn’s Blend หากหิวหรือไปกันสองคนแนะนำให้สั่งคาวจาน-หวานจานนะคะ คาวแนะนำเป็นน Mushroom Welsh Rarebit ค่ะ จะเป็นขนมปังท็อปด้วยเห็ดอบเนยค่ะ ราดซอสอร่อยๆ ค่ะ รับรองว่าไม่เลี่ยนนะคะ เพิ่มอีกนิดคือไม่ควรคิดทานคนเดียว 1 จานนะคะ อิ่มมากมายค่ะ คาว 1 หวาน 1 เป็นไปไม่ได้มากๆ ค่ะ

Sally Lunn’s
Sally Lunn’s
Sally Lunn’s

ชาที่ร้านเสิร์ฟจะเป็นชาแบบผงนะคะ มาพร้อมที่กรองชาค่ะ ต้องเอาที่กรองวางก่อนรินชาใส่แก้วนะคะ ครั้งแรกที่ Knot ไปร้านนี้ เปิ่นมากไม่เอาที่กรองวางก่อน เศษชาก็จะลงไปที่แก้วค่ะ หากชาหมดขอให้เค้าเติมน้ำร้อนให้ เค้าคิดเงินเพิ่มนะคะ (ก่อนหน้านี้ไม่คิด ครั้งล่าสุดที่ไปคิดมา 60 เพนนีค่ะ)

Museum

5 Avon River, Pulteney Bridge และ Parade Garden

หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารขึ้นชื่อของเมืองไปแล้ว ก็ออกเดินต่อไปเที่ยวชม Parade Garden ซึ่งจะเปิดให้ลงไปเดินเล่นในช่วงหน้าร้อนเท่านั้นค่ะ ช่วงหน้าหนาวเราจะสามารถชมได้จากด้านบน สวนนี้อยู่ติดริมแม่น้ำ Avon ค่ะ ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ผ่านกลางเมือง Bath และไหลลงสู่ทะเลที่ Bristol ค่ะ

Avon River and Pulteney Bridge in Winter

Pulteney Bridge เป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่สร้างเลียบแบบ Ponte Vecchio ที่เมืองฟลอเรนซ์ค่ะ เป็นสะพานที่มีร้านค้าขายของสองฝั่งค่ะ โค้งๆ สามโค้งที่เราเห็นนั้นคือฐานรากของสะพาน Pulteney Bridge ซึ่งจะนำไปสู่ถนนที่ชื่อว่า Great Pulteney Road

Bath

Knot แนะนำให้เดินจาก Sally Lunn มาทาง North Parade ข้ามสะพาน แล้วเดินลงบันไดเพื่อไปเดินเล่นเรียบแม่น้ำกลับไปยัง Pulteney Bridge เราจะได้ชมวิวริมน้ำ และถ่ายภาพสวยๆ เห็นการทดน้ำในแม่น้ำเพื่อให้เรือสามารถเดินได้ค่ะ

Bath
Pulteney Bridge in Autumn
Picnic is welcome along the River

เมื่อเดินมาถึง Pulteney Bridge ก็จะเห็นบันได พาเรากลับขึ้นไปสู่ถนน Great Pulteney Street ซึ่งจะพาเราไปยังจุดหมายสุดท้าย

มองแม่น้ำ Avon

6. Great Pulteney Street และ Holburne Museum

Great Pulteney Street ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่เป็นถนนที่ Knot คิดว่าสวยที่สุดในเมืองนี้ค่ะ สองข้างทางเป็นอาคารทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นบ้านพักอาศัยของผู้มีอันจะกินในบาธ เป็นหอพักของนักศึกษาผู้มีสตางค์และอยากสบายแบบใกล้เมือง อิอิ หนึ่งในนั้นคือ Knot บ้านน๊อตอยู่สุดถนนเส้นนี้ค่ะ No.7 Sydney Place คือบ้านหลังแรกใน Bath หลังจากย้ายออกจากหอพักมหาวิทยาลัยเมื่อสิ้นสุดปี 1

สุดถนนเส้นนี้ หากสนใจจะมี พิพิธภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยรูปภาพและของเก่ามากมายให้ชมค่ะ สวนสาธารณะแถวนั้นก็งดงามมาก เหมาะกับการนั่งชิล อ่านหนังสือที่สุดค่ะ

จริงๆ นอกจาก 6 จุดนี้แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น Prior Park ที่สวยงาม แต่จะออกนอกเมืองไปนิดนึงต้องนั่งรถไปค่ะ วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะคะ

ถนนช้อปปิ้ง

เดินเที่ยวเสร็จแล้ว เรามาเริ่มช้อปปิ้งกันได้ค่ะ แต่เดิม Bath เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีร้านค้าแบรนด์ต่างๆ ไม่มากนัก สมัย Knot เรียนที่นี่ ถนนช้อปปิ้งหลักจะอยู่ที่ Milsom Street ลงมาถึง Stall Street เป็นเส้นตรงนะคะ เดินรวดเดียวไม่เกิน 20 นาทีค่ะ แต่ถ้าแวะร้านต่างๆ ก็ครึ่งวันได้ค่ะ

Southgate

แต่ปัจจุบัน เทศบาลได้ทำการทุบอาคารบริเวณ Southgate แล้วสร้างใหม่เป็นร้านค้า และห้างสรรพสินค้ามากมาย ทำให้ตอนนี้ Bath กลายเป็นเมืองที่สามารถหาซื้อของได้เกือบทุกแบรนด์ โดยเฉพาะ High Street Brands เช่น Superdrys, TopShops, Topmans, H&M, ZARA, Next ร้านรองเท้ามีเต็มถนนค่ะ โดยเฉพาะ Stall Street จะมีร้านรองเท้าชื่อดังทั้ง Office, Size, Soldtrader, etc เรียกได้ว่าหากคู่ไหนอยู่ต้องเจอสักร้านค่ะ เดินช้อปเหนื่อยๆ เทศบาลเค้าก็จัดให้มีที่นั่งพัก คล้ายๆ co-working space เป็นหญ้าเทียม ที่มีร้า่นกาแฟมาขาย Snack ให้เรากินเล่นได้ตลอดค่ะ

รองเท้าเด็กน่ารักมาก

ข้อเสียของการช้อปปิ้งที่ Bath หรือเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่ London คือ ร้านต่างๆ เปิดช้าและปิดเร็ว คือ วันธรรมดาจะเปิด 10 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น เสาร์อาทิตย์ เปิด 10.30 ถึง 6 โมงเย็น วันพฤหัส หรือที่เรียกว่า Late Night Shopping จะปิดทุ่มหรือสองทุ่ม แล้วแต่ร้านค่ะ

ของที่ได้มาหลังจบทริปนี้

Cath Kidston ในเมืองอาจจะหายากนิดนึงนะคะ จะอยู่บนถนน Broad Street ใกล้ๆ Milsom Street ค่ะ พนักงานที่ร้านจะเป็นคุณป้าสูงวัยแต่น่ารักมากมายค่ะ อีกอย่างนะคะ ที่ Bath มี Ben’s Cookies ด้วยนะคะ อยู่ถนนซอย ขนานกับ Union Street เข้าทางร้าน Oasis นะคะ แนะนำให้ลองกินแบบเพิ่งออกจากเตาร้อนๆ ค่ะ ที่พารากอนไม่ให้เราซื้อเยอะ ที่ร้านนี้มีโปรแถมมากมายค่ะ Tin ใส่คุ้กกี้ก็น่ารักน่าเก็บมากค่ะ

การเดินทางภายในเมืองบาธ

การเดินทางภายใน Bath หากมาเที่ยวในเมืองและเดินไหว Knot แนะนำให้เดินค่ะ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองส่วนใหญ่รถเข้าไม่ถึงนะคะ และเมือง Bath ส่วน City Center ไม่ใหญ่มากค่ะ สามารถเดินไป แวะถ่ายรูปไป ชิมอาหารหรือขนมไปได้ค่ะ

แต่หากอยากนั่งรถเที่ยวแนะนำรถสองชั้นสีแดงค่ะ ตั๋วขายเป็นวันใช้แทนตั๋วรถเมล์ได้เลยค่ะ เค้าจะพาเรานั่งวนไปทั่วๆ เมืองเราสามารถลงไปถ่ายรูปแล้วรถขึ้นรถเที่ยวต่อไปได้ค่ะ ห่างกันประมาณ 15 นาที ซึ่งตรงเวลามากค่ะ

นอกจากนี้ หากอยากขึ้นไปเที่ยวมหาวิทยาลัย ก็สามารถนั่งรถเมล์สีส้ม ซึ่งเป็น University Bus ขึ้นไปได้ค่ะ รถจะพาเราขึ้นเขาไปที่มหาวิทยาลัยเลยค่ะ

หากขับรถ เราสามารถหาที่จอดรถได้แถวสถานีรถไฟ สถานีตำรวจ ค่าจอดรถจะถูกหน่อยค่ะ หรือจอดแถว Henriatta Park หรือ Green Park ค่ะ แต่ค่าจอดค่อนข้างแพงค่ะ ชั่วโมงละประมาณ 4 ปอนด์ เดินเข้าเมืองได้ใกล้ๆ ค่ะ หรือจะจอดในอาคารจอดรถตรงโรงแรม Hillton ก็ได้เช่นกันค่ะ

รถที่เช่า

โพสต์นี้ก็ยาวอีกเช่นเคย เพราะเรื่องเล่าของ Bath มีเยอะมากมายค่ะ ยังไม่ได้เล่าถึงร้านอาหารเด็ดๆ ของ Bath ร้านอาหารไทยต่างๆ ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายค่ะ แต่ทริปนี้เราเน้นที่การเที่ยวและช้อปปิ้งกันก่อนนะคะ ตอนหน้า Knot จะพาไปตะลอนทัวร์บนถนนสายโรแมนติกแถบ Cotswolds กันค่ะ อย่าลืมกดไลค์กดแชร์เพื่อติดตามกันได้ที่ @TripsinMyMemory หรือ Instagram @TripsinMyMemory นะคะ