สวัสดีค่ะ โพสต์นี้ Knot ขอเล่าประสบการณ์การเดินทางด้วย เครื่องบิน Airbus A380 Business Class ของสายการบิน Emirates Airline ซึ่งเคยได้รับรางวัล The Best Airline Worldwide หรือสายการบินที่ดีที่สุดในโลกเมื่อ 2017 สำหรับปี 2019 นี้ Business Class ของสายการบิน Emirates ตกไปอยู่ลำดับที่ 4 ขยับขึ้นมาสองอันดับจากปี 2018 ค่ะ (ที่มา: www.worldairlineawards.com) อันดับที่ 1 คือ Quatar Airline อันดับที่ 2 คือ ANA All Nippon Air ในขณะที่การบินไทย สายการบินแห่งชาติของเราได้อันดับที่ 7
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ Sponsor ใหญ่ของทริปนี้ค่ะ คุณ Juth ของเรานั่นเอง ผู้ออกค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ทั้งยังเป็นตากล้อง ถ่ายรูป ถ่ายคลิป ตัดต่อให้อีกด้วยค่ะ วัตถุประสงค์หลักของทริปนี้คือไปร่วมงาน MADcon ซึ่งเป็นงานสัมมนาของผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและโฆษณาระดับโลก ซึ่งจัดขึ้นที่ Dubai ค่ะ ที่สำคัญคือ คุณ Juth ของเราได้รับเชิญไปรับรางวัล Top 50 Marketing and Advertising Leaders และเป็น Speaker ในงานนี้ด้วยค่ะ
รายละเอียดการเดินทาง
ทริปดูไบครั้งนี้เราเดินทางวันที่ 16 ธันวาคม 2562 เที่ยวบินที่ EK377 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพ หรือสุวรรณภูมิ (BKK) เวลา 3.30 น กำหนดถึงสนามบินนานาชาติดูไบ (DXB) เวลา 7.15 น ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง 45 นาทีค่ะ เที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินใหม่ที่ Knot เลื่อนมาเนื่องจากได้รับผลวีซ่าไม่ทันค่ะ (ตามไปอ่านเรื่องราวกันได้ที่โพสต์ ประสบการณ์ลุ้นระทึกกับ Dubai Visa) เที่ยวบินขากลับของเราคือเที่ยวบินที่ EK374 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ (DXB) วันที่ 18 ธันวาคม 2562 เวลา 22.35 ถึงสนามบินนานาชาติกรุงเทพฯ (BKK) วันที่ 19 ธันวาคม 2562 เวลา 7.35 น. ค่ะ
ขาไปเรานั่งเครื่อง Airbus A380 แบบ Two Class Long-Range กล่าวคือเป็นเครื่องบินสองชั้น (Two Decks) ที่ไม่มี First Class ให้บริการ มีเพียง Business Class และ Economy Class เท่านั้น โดยชั้นล่าง หรือ Lower Deck จะเป็นที่นั่งสำหรับ Economy Class จัดวางแบบ 3-4-3 ทั้งลำ ส่วนชั้นบน หรือ Upper Deck ส่วนหัวจะเป็นที่นั่งสำหรับ Economy Class จัดที่นั่งแบบ 2-3-2 และส่วนหางจะเป็นที่นั่งสำหรับ Business Class จัดที่นั่งแบบ 1-2-1 ซึ่งหมายความว่าทุกที่นั่งจะเป็น Aisle หรืออยู่ริมทางเดินทั้งหมด เนื่องจากเราเดินทางเป็นคู่ Knot จึงเลือกที่นั่งตรงกลางค่ะ จะได้นั่งคู่กัน ที่นั่งตรงกลางก็จะมีแบบคู่และแบบแยกสลับแถวกัน เพื่อความเป็นส่วนตัวหากเดินทางคนเดียวค่ะ ส่วนหางของเครื่องบินชั้นบนนี้ Emirates ได้จัดให้เป็น Sky Lounge ให้บริการผู้โดยสารทั้ง Business และ First Class ร่วมกัน
ขากลับเรานั่งเครื่อง A380 แบบ Three Class long-range ซึ่งการจัดที่นั่งจะแตกต่างจากลำแรกตรงที่มีให้บริการทั้ง 3 Classes คือมีชั้น First Class ด้วย โดยที่นั่งของ First Class ถูกวางให้อยู่ส่วนหัวของชั้นบน หรือ Upper Deck ค่ะ ส่วนที่เป็น Economy Class ของขามานั่นเอง จัดวางแบบ 1-2-1 เช่นกัน แต่ First Class จะเป็นห้องหรือ Suite มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก คือเหมาะกับคนที่เดินทางคนเดียวอย่างยิ่ง มี Shower Room ให้ด้วยค่ะ แต่อาบน้ำได้คนละ 5 นาทีเท่านั้น ขากลับเราสองคนนั่งตรงกลางแต่เนื่องจากเที่ยวบินนี้คนเยอะมาก เลยได้นั่งคู่แบบแยกกันค่ะ ห่างไกลกันกว่านั่งริมหน้าต่างกับตรงกลางอีกค่ะ
บริการสำหรับผู้โดยสาร Business Class ของ Emirates
ต้องบอกว่าตั๋ว Business Class ครั้งนี้ Knot ใช้บัตรเครดิต Citi Prestige ซื้อเนื่องจากเค้ามีโปรโมชัน ลด 5-20% สำหรับตั๋วเครื่องบินชั้น Business Class ของ Emirates ค่ะ บริการสำหรับผู้โดยสารชั้น Business Class ของ Emirates มีดังนี้:
- บริการยื่นขอ E-Visa เข้า Dubai สามารถยื่นได้ทั้งผ่านเว็บไซต์ของ Emirates หรือยื่นที่สำนักงานสายการบิน Emirates ที่ กทม ก็ได้ค่ะ
- บริการ Chauffeur-drive หรือรถรับ-ส่งทั้งขาไปและขากลับ ต้นทางและปลายทางสำหรับทุกเที่ยวบินค่ะ 1 ที่นั่งได้ 1 คันค่ะ แต่ทริปนี้เราเดินทางสองคน ก็ใช้บริการแค่เที่ยวละ 1 คันค่ะ
- Fast Track หลังจากที่รถมาส่งเราที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว เราสองคนก็ลากกระเป๋าไปที่ Counter Check in สำหรับ Business Class ซึ่งเหมือนสายการบินอื่น ๆ ค่ะ คือมีเค้าเตอร์แยกให้บริการเฉพาะ พอเช็คอินเสร็จ ที่ Boarding Pass ก็จะเขียนเลยว่ามี Fast Track สามารถเดินเข้าไปผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองได้จากด้านล่างตรงช้อง Fast Track ได้เลยค่ะ แต่ส่วนนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจแสตมป์ลงตรา ไม่มีเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ให้นะคะ ขากลับก็เช่นกันค่ะ ที่สุวรรณภูมิลงเครื่องปุ๊บ เดินมาเรื่อย ๆ เข้าช่อง Fast Track ก็จะมาติดคิวที่เจ้าหน้าที่ค่ะ บางทีไปต่อคิวคนไทยใช้เครื่องอาจจะเร็วกว่าค่ะ
- บริการ Business Class Lounge หรือ Emirates Lounge ที่ตั้งอยู่ในสนามบินต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งมี Wifi, อาหารเป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติที่อร่อยและหลากหลาย มีการจัดโซน Quiet Area ให้นอนพักผ่อนได้ และที่สนามบินดูไบยังมี Smoking Area ให้ด้วยค่ะ
- State-of-the-art entertainment system หรือ ICE ซึ่งมีรายการต่าง ๆ ให้เลือกชม และภาพยนตร์ที่หลากหลายมาก ระบบ In-flight Entertainment ของ Business Class มีจอทั้งหมด 3 จอ คือ จอใหญ่ตรงหน้าผู้โดยสาร มีไอแพด และยังมีจอบนมือถืออีกด้วย ซึ่งเราสามารถควบคุมหรือสั่งการจากอุปกรณ์ทั้งสามอันนี้ได้เลย นอกจากนี้ การออกแบบ UX (User Experience) ของระบบทำได้ดีมาก คุณ Juth ชอบมาก ดูหนังไม่นอนเลย หนังของเค้ามีทั้งหนังคลาสสิคและหนังใหม่มาก เรื่องล่าสุดเพิ่งออกจากโรงหนังบ้านเราไปไม่นานค่ะ
- 180 องศา Flat Bed Seat ที่นั่งปรับเอนนอนได้ 180 องศา กว้างขวางพอสมควร แต่ไม่พอสำหรับการพลิกตัวไปมานะคะ นอนตรง ๆ ได้อยู่ Leg Room ค่อนข้างเยอะสำหรับคนไทยไซส์จิ๋วอย่าง Knot แต่สำหรับคนตัวใหญ่น่าจะแค่พอดี ๆ ค่ะ
- Mini Bar by Your Seat ตรงที่นั่งจะมีมินิบาร์วางไว้ให้สามารถเลือกหยิบทานได้เลย เป็นน้ำอัดลม Pepsi, 7up น้ำแร่ Avian และน้ำแร่แบบซ่า Parrier แต่ขาไปคนเติมเครื่องดื่มน่าจะเติมไม่ครบ เพราะมีแต่น้ำแร่ไม่มีน้ำอัดลมตรงที่นั่งของ Knot ค่ะ แต่ที่นั่งคุณ Juth มีครบ แต่เราก็ยังสามารถขอเครื่องดื่มร้อนเย็นจากแอร์ได้ตามปกติค่ะ เอาเป็นว่ามี Mini Bar เพิ่มความสะดวกให้เราไม่ต้องรอแอร์มาเสิร์ฟสำหรับไฟล์ทที่ผู้โดยสารเยอะเหมือนขากลับค่ะ
- Bulgari amenities เครื่องใช้ในห้องน้ำที่แจกบนเครื่องสำหรับ Business Class เป็นผลิตภัณฑ์ของ Bulgari ค่ะ ขาไปเราได้เป็นกระเป๋าหูหิ้ว ขากลับเป็นถุงเครื่องสำอางค์แบบรูดค่ะ น่ารักดีทั้งสองแบบ ของด้านในมีเหมือนกันค่ะ มียาสีฟันแปรงสีฟันคอลเกต หวีพับด้านหนึ่งเป็นแปรงด้านหนึ่งเป็นหวี กระจกพับได้ โลชั่น น้ำหอม โคโลญจน์ ของ Bulgari ทั้งหมดค่ะ แล้วก็มีผ้าปิดตาและถุงเท้าไว้ให้เราใส่บนเครื่องด้วยค่ะ ส่วนตัว Knot ชอบถุงเท้าเค้ามากค่ะ นิ่มและอุ่นดี แต่ว่าใส่ครั้งเดียวทิ้งนะคะ เพราะเค้าไม่น่าจะทำมาไว้ให้ใส่ซ้ำค่ะ ผ้าออกจะย้วย ๆ หน่อยยางยืดก็ยืดไปเลยค่ะ
- Motorized window shades ถ้านั่งที่นั่งริมหน้าต่าง ก็คงได้ลองใช้ ม่านหน้าต่างอัตโนมัติค่ะ ลักษณะคล้าย ๆ กระจกรถยนต์อัตโนมัติที่เราใช้กันค่ะ กดขึ้นลง และปรับแสงได้ค่ะ
- A manned inflight bar หรือ Sky Lounge ที่ด้านหลังของเครื่องบินค่ะ เป็นบาร์เครื่องดื่ม มีบริการอาหารและขนมลักษณะ Finger Foods ตลอดเที่ยวบินค่ะ สามารถสั่งเครื่องดื่ม และขนมทานได้ มีที่นั่งให้สังสรรค์เป็นกลุ่มได้ค่ะ แต่ขาไปเราหลับกันทั้งคู่ ไม่ได้ใช้บริการ Lounge ส่วนนี้เลย พอตื่นทานอาหารเช้าเสร็จ ลุกมาเข้าห้องน้ำแอร์ก็เริ่มเก็บของเข้าที่เตรียมพร้อมก่อนลงจอดค่ะ คุณ Juth เดินไปจะถ่ายรูป น้องแอร์ก็น่ารักมากพยายามจะจัดของให้เราถ่ายภาพกันใหม่ มีสจ๊วตถามคุณ Juth ว่าไปอยู่ไหนมาทำไมเพิ่งมาตอนที่เครื่องกำลังจะลงจอด คือเราสองคนหลับตลอดเที่ยวบินเลยค่ะ ส่วนขากลับเนื่องจากผู้โดยสารเยอะมาก เราลุกไปดูที่บาร์กันเพื่อจะหาเวลาถ่ายวิดีโอมาให้ทุกท่านได้ชมกัน แต่คนเยอะมากค่ะ Knot เลยต้องตัดใจขอเป็นคราวหน้านะคะ เราจะมีบินสายการบินนี้ไปฝรั่งเศสและอิตาลีกันอีกเดือนมีนาคม 2563 ค่ะ ถ้าคนไม่เยอะเราจะถ่ายคลิปมาให้ได้ชมกันค่ะ พอคนเยอะพื้นที่ส่วนนี้ก็จะแออัดนิดๆ ค่ะ เพราะคนส่วนใหญ่จะยืนที่บาร์คุยกันโวกเวกใช้ได้เลย
- อาหารที่ให้บริการบนเครื่อง Business Class ของ Emirates อาหารอร่อยดีค่ะ แต่การบริการหรือวิธีการเสิร์ฟของเค้าจะมาเป็นถาดเดียว เหมือน Economy Class แต่ปริมาณและรสชาติจะดีกว่าค่ะ อร่อยเลยทีเดียวค่ะ เมนูที่ให้เลือกมีหลากหลาย แต่พอเราเลือกไปโอกาสที่จะไม่ได้ในสิ่งที่เลือกสูงทีเดียวค่ะ เพราะขาไปคุณ Juth ไม่ได้ทานของที่เลือกต้องเปลี่ยน ขากลับ Knot ก็ไม่ได้ทานเมนูที่เลือกค่ะ เพราะเค้าไม่ให้ผู้โดยสาร Pre-Order อาหารก่อนขึ้นเครื่องเหมือนการบินไทย ทำให้การจัดการอาหารไม่ตรงต่อความต้องการของผู้โดยสารในแต่ละเที่ยวบินค่ะ หากไปอ่านรีวิวจากหลาย ๆ ที่อาหารของสายการบิน Emirates จึงได้แค่ OK ค่ะ
- หูฟังแบบ Noise Cancelation หูฟังอันใหญ่มหึมา ที่นิ่มมาก เสียงดีค่ะ ถ้าใครอยากนอนหลับโดยไม่มีเสียงรบกวนใส่หูฟังอันนี้ไปรับรองไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ เพราะขาไปมีผู้โดยสารกรนค่ะ Knot ต้องใส่หูฟังช่วยแล้วไม่ได้ยินอะไรใด ๆ เลยค่ะ นี่คือสาเหตุที่เค้าไม่ให้ที่อุดหูนั่นเองค่ะ
- Didicated Business Class Check-in ที่สนามบินดูไบ ถ้าเราโดยสาร Business Class หรือ First Class รถที่ไปรับเราจะมาส่งเราที่อาคารเช็คอินสำหรับผู้โดยสารชั้น Business และ First โดยเฉพาะ ซึ่งนอกจากจะมีเค้าเตอร์ต่างหากแล้วยังมี Porter ช่วยยกกระเป๋าให้ด้วยค่ะ ส่วนนี้ Porter บริการดีมากค่ะ รถจอดปุ๊บจะมีเจ้าหน้าที่มาถามว่าต้องการคนช่วยยกกระเป๋าไหมคะ พอบอกว่า Yes ก็มาพร้อมรถเข็นเลยค่ะ เรียกว่าผู้โดยสารไม่ต้องขยับตัวทำอะไรเองเลยค่ะ
- Fast Track ที่ดูไบ ตอนขาไป พอเครื่องลง Knot ก็งก ๆ เงิ่น ๆ หาป้าย Fast Track แต่ที่ไหนได้ เราต้องต่อรถไฟไปอีกอาคารก่อนค่ะ แล้วถึงจะไปเข้า Fast Track ผ่านไปอย่างรวดเร็วก่อนไปรับกระเป๋า แลกเงินจาก USD เป็น AER ค่ะ ขากลับเนื่องจากมีอาคารเช็คอินแยกต่างหาก ตม ก็แยกต่างหากค่ะ ตรวจกันรวดเร็วมาก ตรวจกระเป๋าเสร็จ เราก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนเพื่อไปที่เล้าจน์ค่ะ เราบินออกโซน C ถ้าเดินคงจะไกลไปหน่อย แต่มีคุณลุงขับรถกอล์ฟมาบริการพาไปส่งที่ Lounge โซน C ให้ สะดวกดีค่ะ
ความประทับใจในการเดินทางครั้งนี้
การเดินทางครั้งนี้ นอกจากความหวาดหวั่นของผลวีซ่าแล้ว ถือเป็นการเดินทางที่ดีมากสะดวกสบายทีเดียวค่ะ แต่ก็ไม่ได้ประทับใจทั้งหมด ส่วนที่ Knot และ คุณ Juth ประทับใจมาก ก็คือ
- การบริการรถรับส่งของทั้งขาไปและขากลับ ทั้งที่กรุงเทพและดูไบ พนักงานขับรถ อัธยาศัยดี บริการดี รถที่มารับก็สะอาดสะอ้านดีมาก ตรงเวลาด้วยค่ะ
- อาหารและพนักงานผู้ดูแลอาหารภายใน Lounge ที่ท่าอากาศยานทั้งสองแห่งค่ะ อาหารและขนมรสชาติดี มีความหลากหลาย มีเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย ถ้าใครเป็นสายแอลกอฮอล์น่าจะชอบมากค่ะ โดยเฉพาะเค้าเสิร์ฟ Monet และไวน์ต่าง ๆ มากมาย
- ที่นั่งภายในเลาจน์ที่แบ่งเป็นโซนรับประทานอาหาร โซนนั่งเล่น และโซนพักผ่อนค่ะ
- ICE ระบบความบันเทิงบนเครื่องบินที่เลิศมากทั้ง UX และความหลากหลายของรายการต่าง ๆ
- รสชาติอาหารบนเครื่องที่อร่อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่ะ ด้วยความที่คิดไว้ก่อนแล้วว่าไม่น่าจะอร่อยเพราะไม่ใช่อาหารไทย แต่ขนมปังเค้าอร่อยมากค่ะ แล้วก็อาหารที่เสิร์ฟก็รสชาติดีเลยค่ะ
- ที่นั่งของ Business Class ที่นอนสบายมากค่ะ แต่ต้องปู Mattress ด้วยนะคะ อย่าเผลอนอนไปโดยไม่ให้แอร์ปูที่นอนให้นะคะ เบาะที่นั่งของเค้าค่อนข้างแข็งค่ะ ถ้าปูที่นอนปุ๊บนิ่มขึ้น นอนสบายปั๊บเลยค่ะ
สิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
จากประสบการณ์ของ Knot ที่เคยใช้บริการ Business Class ของสายการบินไทยมาหลายครั้ง และคาดหวังว่าการบริการของสายการบินที่ได้อันดับดีกว่าการบินไทยควรจะให้บริการได้ดีกว่าในทุก ๆ ด้าน อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Knot มีความคาดหวังค่อนข้างสูงสำหรับการเดินทางครั้งนี้ Knot ก็เลยมีหลายสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
การบริการที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- การบริการของพนักงานต้อนรับที่เค้าเตอร์เช็คอินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน การบริการของพนักงานไม่ได้แย่นะคะ แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าบริการของ Economy Class ค่ะ การพูดจากับผู้โดยสาร มารยาทในการให้เสิร์ฟอาหาร การแนะนำตัวกับผู้โดยสารที่เอาจริง ๆ ถ้าจะมาแนะนำตัวแล้วเหมือนท่อง ๆ มาไม่ต้องมาก็ได้ค่ะ ขาไป Supervisor มาแนะนำตัวกับ Knot แล้วบอกว่าถ้ามีอะไรสามารถเรียก แอร์คนไทยชื่อ xxx ได้ค่ะ ฟังแล้วงง ๆ ถ้าจะให้ใช้บริการแอร์คนไทย ก็ควรให้แอร์คนนั้นมาแนะนำตัวกับเราไหมคะ ตลอดเที่ยวบินขาไป เราไม่เจอหน้าคนไทยคนนั้นเลยค่ะ ส่วนขากลับไม่มีแอร์มาแนะนำตัวกับเราคาดเดาว่าเพราะผู้โดยสารเยอะมาก และเลือกที่จะทักทายเฉพาะบางคนค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นการบริการที่แย่มาก ควรต้องเท่าเทียมกันและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
- การพูดจาของพนักงานต้อนรับ กว่าพนักงานต้อนรับจะมาถามว่าจะทานอะไร เหมือนถามข้าม Knot ไปมาค่ะ ถามคนที่อยู่ข้างหน้า อีกคนถามคนข้างหลัง จนเหลือ Knot กับคนนั่งข้างหน้าต่าง ซึ่งเป็นฝรั่งเค้าต้องกดเรียกพนักงานมาถึงจะมาถาม แถมตอนถามนี่บอกเลยว่า สำเนียงส่อภาษามากค่ะ มองในแง่ดีคือภาษาอังกฤษแย่ พูดแบบผู้ดีผู้เจริญแล้วไม่เป็น ถามว่า “You don’t eat breakfast?” เราฟังก็งงๆ ว่าไปบอกตอนไหนว่าจะไม่กินอาหารเช้า หิวด้วยเลยตอบไปแรง ๆ ว่า Did I? No, I wanna have breakfast. แล้วจ้องตาแรง ๆ ไป ก็น่าจะรู้ตัวว่าทำกิริยาไม่ดีใส่ผู้โดยสาร เลยถามกลับมาใหม่ว่าจะกินอะไร พูดจาดีขึ้น แต่สุดท้ายก็เอาน้ำส้มที่ไม่ได้สั่งมาบริการให้ ส่วนอาหารก็มาบอกว่าไม่ได้แบบที่สั่งทานอย่างอื่นได้ไหม แต่ขาไปพนักงานต้อนรับบนเครื่องน่ารักดีค่ะ แต่น้องพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ เค้าจัดคนจีนมาให้บริการเรา คุณ Juth บอกว่าคงจะดูจากหน้าซึ่งก็เถียงไม่ได้ว่า หมวย 100%
- มาตรฐานการบริการที่ไม่มาตรฐาน อย่างที่เล่าไปแล้วข้างต้นเลยค่ะ พนักงานต้อนรับบริการไม่เหมือนกัน สองไฟล์ทบริการต่างกันมาก ปกติสายการบินระดับนี้ควรมีการบริการที่เป็นมาตรฐาน มีขั้นตอนในการให้บริการที่เหมือนกันทุกเที่ยวบินและสำหรับผู้โดยสารทุกคน อันนี้ขาไปพนักงานบริการดี แต่ก็เป็นไปแค่ตามปกติที่ควรจะเป็นนะคะ ไม่ได้ Wow ไม่มีดีมาก แค่ไม่แย่ค่ะ แต่ขากลับคือแย่มาก ถ้าให้คะแนนค่าเฉลี่ยออกมาจึงเป็นแย่หรือไม่ดีค่ะ ไม่ถึงมาตรฐานที่ควรจะเป็นสำหรับการบริการลูกค้า Business Class
สิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่เป็นอย่างที่คาด
- เครื่องดื่ม Mini Bar เนื่องจากไม่ได้แช่เย็นแค่นำมาวางเรียงไว้ให้หยิบดื่มได้สะดวก จึงกลายเป็นว่ามีหรือไม่มี ไม่แตกต่างกันมาก แถมขาไปยังมาวางให้ไม่ครบอีกด้วย ส่วนนี้จากที่จะเป็น wow factor จึงกลายเป็นอุปสรรคที่จะใช้พื้นที่ไปทำอย่างอื่นค่ะ
- พื้นที่เก็บของที่น้อยนิดสำหรับที่นั่งตรงกลาง ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วคือมีช่องให้เราวางของได้แค่ช่องใต้ที่วางเท้าเท่านั้น ไม่ลึกพอที่จะวางเป้ หรือกระเป๋าที่สูงเกิน 30 ซม ค่ะ หากเราถือกระเป๋าคอมขึ้นเครื่องจะไม่มีที่วางกระเป๋าคอมนอกจากจะวางไว้ตรงที่วางเท้าค่ะ ซึ่งก็จะเป็นอุปสรรคในการนอนของเรา จนต้องเอาไปใส่ที่ Overhead Compassment ซึ่งการมีคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเป็นเรื่องจำเป็นของนักธุรกิจ ซึ่งก็น่าจะอยากหยิบจับอุปกรณ์ของตัวเองได้สะดวกค่ะ Knot คิดว่าแทนที่จะมี Mini Bar ถ้าเอาพื้นที่ส่วนนี้ จัดให้เป็นที่วางของโดยเฉพาะ Laptop น่าจะดีกว่าค่ะ สำหรับ Window Seats จะมีช่องสำหรับใส่ของได้บริเวณด้านที่ติดกระจกค่ะ ดังนั้น Knot คิดว่าถ้าเดินทางคนเดียว ควรเลือก Window Seats มากกว่าค่ะ
- ห้องน้ำบนเครื่องบิน มีขนาดเล็กปกติ และจำนวนไม่มากมีแค่ 4 ห้องและอยู่ด้านหลังของเครื่องบิน ทำให้เมื่อเจอเที่ยวบินที่ผู้โดยสารเยอะ ก็จะมีคิวรอเข้าห้องน้ำยาวเลยค่ะ แอร์ก็จะทำความสะอาดไม่ค่อยจะทัน ก็จะเลอะ ๆ หน่อย ประหนึ่งเราบิน Economy Class ค่ะ การตกแต่งของห้องน้ำก็ไม่แตกต่างจากห้องน้ำ Economy Class ทั่วไป จะไม่เหมือนของการบินไทยที่ห้องน้ำ Business Class จะมี Amenities วางไว้ให้ใช้ ของ Emirates จะมีแปรงสีฟัน หวีไว้ให้ เหมือนของ Economy ค่ะ ดังนั้น Amenity Set ที่เค้าให้บนเครื่องเราไม่จำเป็นต้องแกะเลยค่ะ แต่ของในห้องน้ำไม่ใชj Bulgari นะคะ แต่เป็น Brand ที่เค้าแจกให้กับ First Class ซึ่ง Knot ไม่ค่อยชอบเพราะกลิ่นน้ำหอมแรงมากค่ะ Knot แพ้น้ำหอม
- ห้องอาบน้ำที่ Lounge มีขนาดเล็ก ไม่มีสบู่ให้บริการ มียาสระผมและครีมนวดผมใส่ขวดไว้ให้กดใช้ค่ะ มีผ้าเช็ดตัววางไว้ให้เราใช้ สามารถเข้าไปใช้บริการได้เลยโดยไม่ต้องจองค่ะ แปลว่าถ้าคนเยอะ ต้องเล็งดี ๆ ค่ะ เพราะมีแค่สองห้อง แต่เนื่องจากเรา Check in เร็ว คนยังน้อย ก็เลยไม่มีคิวใด ๆ เดินเข้าไปใช้ได้เลยค่ะ การตกแต่งห้องน้ำคือเป็นไปตามมาตรฐาน คล้าย ๆ ห้องน้ำของโรงแรม 3 ดาวในยุโรปทั่วไปค่ะ ถ้าเทียบกับห้องน้ำใน United Lounge ที่ heathrow ที่ Knot เคยไปใช้บริการสู้ไม่ได้ค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่นะคะ สะอาดสะอ้านดีค่ะ
เปรียบเทียบกับบริการ Business Class ของการบินไทย
เนื่องจาก Knot เคยใช้บริการ Business Class แค่ของ TG กับ Emirates เท่านั้นค่ะ Knot จึงขอเปรียบเทียบแค่สองสายการบินนี้นะคะ
- ด้านการบริการ – Business Class ของ TG ที่ Knot เคยใช้บริการจะเป็นเส้นทาง Bkk-LHR-Bkk ค่ะ เคยได้นั่งทั้ง Boeing 747 และ A380 หากเปรียบเทียบกันแล้ว Knot ต้องบอกว่าส่วนตัวชอบการบริการของพนักงานต้อนรับของการบินไทยมากกว่าค่ะ แม้ว่าจะมีพนักงานต้อนรับจำนวนน้อยกว่า แต่ก็ให้บริการกับผู้โดยสารได้ Attentive มากกว่าค่ะ พนักงานต้อนรับที่ Lounge และ Counter Check in ก็จะมีมารยาทดีกว่า อาจจะเป็นเพราะไม่มีอุปสรรคด้านภาษาค่ะ เพราะเราใช้ภาษาไทยในการสื่อสารเป็นหลัก
- ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกบนเครื่องบิน – ตอบได้เลยว่า TG แพ้ Emirates แบบไม่ต้องคิดเยอะเลยค่ะ ทั้งที่นั่ง แม้จะปรับนอนได้ แต่ก็ไม่เป็นส่วนตัวเพราะการจัดที่นั่งเป็นแบบ 2-2-2 Window Seats จะไม่ติดทางเดิน เข้าออกยากเวลาที่คนด้านนอกปรับเอนนอน เพราะขาเค้าจะออกมาขวางทางเดินหมดพอดีค่ะ แต่เครื่อง Boeing 747 เครื่องเก่าจะมีช่องใส่ของเยอะมากเรียกว่าใส่ของไปอาจลืมเอาออกได้ค่ะ ระบบ Inflight Entertainment ของเราสู้เค้าไม่ได้เลยค่ะ
- ด้านการบริการก่อนขึ้นเครื่อง – Emirates ที่มีบริการรถรับส่ง เล้าจน์ที่มีบริการนวด เครื่องดื่มและอาหารที่หลากหลาย คุณภาพอาหารที่ให้บริการก็ดีมากทีเดียวค่ะ จะมีเพียงห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่เค้าน่าจะไม่ให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งหรือขนาด ก็มิได้พิเศษไปกว่าปกติเลย ห้องอาบน้ำมีเพียง 2 ห้องเท่านั้นในเล้าจน์โซน C ที่ดูไบค่ะ ไม่มีไดร์เป่าผม ไม่มี Amenities พิเศษใดๆ ค่ะ แต่มียาสระผมและครีมนวดให้ ไม่มีสบู่ด้วยค่ะ อันนี้คือแปลกใจมากทีเดียว แต่ปกติ Knot จะเตรียมของตัวเองไปค่ะ ห้องอาบน้ำใน Lounge ที่ Heathrow ของ United Airline (Star Alliance) ดีงามมากค่ะ
เนื้อความในโพสต์นี้ Knot เป็นเพียงการเล่าประสบการณ์ที่ Knot รู้สึกและสัมผัสได้จากการใช้บริการสายการบิน Emirates เองเทียบกับการบริการของ TG ที่ Knot เคยใช้บริการเมื่อหลายปีก่อนนะคะ มิได้มีเจตนาที่จะให้ร้ายใครแต่อย่างใด ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการอ่านโพสต์นี้นะคะ การบริการโดยคนมักมีความแตกต่างเสมอในแต่ละครั้งของการให้บริการ บางครั้งเราก็อาจได้รับประสบการณ์ที่ดี บางครั้งเราก็อาจได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี เนื่องจากความคาดหวังของเราเปลี่ยนไปตลอดเวลา ความพึงพอใจของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามความคาดหวังที่เรามีทุกครั้งไปค่ะ
Knot ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องราวประสบการณ์ในการเดินทางของ Knot มาตลอด Knot ขอฝากให้ทุกท่านกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม กด Subscribe Facebook, IG และ YouTube ของ Trips in My Memory ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ