Osaka เป็นเมืองแรกในประเทศญี่ปุ่นที่ Knot มีโอกาสมาท่องเที่ยว นับย้อนไปเมื่อสมัยเรียนจบปริญญาเอกใหม่ๆ ตุลาคม 2007 กว่าสิบปีที่แล้ว ครั้งนั้น Knot มาเที่ยวญี่ปุ่นกับเพื่อนสมัยมัธยม มากันสองสาว วางแผนเที่ยวกัน 9 วัน บินลงโอซาก้า ขากลับกลับจากโตเกียว ครั้งนั้นคุณป้าที่ Information centre ที่สถานีรถไฟ Shinosaka แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารให้ Kani Doraku หรือร้านปูยักษ์แห่ง Dotonburi เป็นร้านหนึ่งที่คุณป้าแนะนำให้มาลองทานกัน เป็นมื้อที่แพงที่สุด หลังจากนั้นทุกครั้งที่มาโอซาก้า Knot ก็ไม่เคยพลาดที่จะมาทานปูที่ร้านนี้ค่ะ

Glico Sign – ป้ายที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาถ่าย เดี๋ยวจะมาไม่ถึงโอซาก้า

ขอสารภาพตามตรงว่าครั้งแรกที่มาโอซาก้ากับเพื่อนไม่ได้มาถ่ายรูปป้าย Glico นี่นะคะ มา Dotonburi เพื่อกินปูแล้วก็กลับค่ะ เพราะช่วงนั้นหนาวมาก ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็จะอยากอยู่ด้านในแบบอุ่นๆ กันค่ะ

Knot กับป้าย Glico ในทริปนี้
Dotonburi Area
Shin Sai Bashi สวรรค์ของสายช็อป

หากเคยมาเที่ยวโอซาก้า ย่าน Shin Sai Bashi และ Dotonburi เป็นย่านที่สายช้อปอย่างเราต้องไม่พลาด จากประสบการณ์นะคะ บอกได้ว่าเครื่องสำอางค์ ขนม และของฝากอันเรื่องชื่อของญี่ปุ่นที่เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยหาได้ที่ตรอกนี้ค่ะ ในราคาที่ไม่แพง อาจจะถูกที่สุดในบรรดาเมืองใหญ่ๆ ด้วยกันค่ะ ที่แน่ๆ คือถูกกว่าโตเกียวแน่นอนค่ะ หากมีเวลาช้อปที่โอซาก้าจะสนุกสุดๆ เลยค่ะ เพราะตรอกนี้เดินง่าย มีร้านขายยามากมาย และมีห้างไดมารูให้เราช้อปแบรนด์เนมก็ยังได้ค่ะ แต่แบรนด์ยุโรปราคาที่ญี่ปุ่นจะแพงหน่อยนะคะ เมื่อเทียบกับการซื้อที่ยุโรป แต่ก็ยังถูกกว่าซื้อที่บ้านเรา แต่ที่ดีที่สุดคือบริการของพนักงานในร้านค่ะ ขอบอกเลยว่าเป็นประสบการณ์การจับจ่ายที่เลิศที่สุด คุ้มราคาที่จ่ายไปค่ะ

Kani Doraku

การเดินทางมาที่ร้านครั้งนี้ Knot พักโรงแรมใกล้ๆ Shin Sai Bashi ค่ะ เดินจากโรงแรมตรงมานิดเดียวประมาณ 5 นาทีก็จะถึงตรอกนี้ด้านหลังนะคะ ตรงร้าน Kitkat เราเดินย้อนกลับมาเรื่อยๆ ข้ามถนนตรงทางลงรถไฟใต้ดินสถานี Shin Sai Bashi ผ่านร้านอาหารน่ารับประทานมากมาย มี Gram Premium Pancake ที่มาเปิดที่พารากอนด้วยค่ะ แต่วันนี้เราตั้งใจไปฉลองมื้อแรกของเราที่ Kani Doraku ร้านปูยักษ์แสนอร่อยของเรา

สองฝั่งคลองหน้าป้าย Glico Sign

Dotonburi เป็นย่านที่มีนักท่องเที่ยวมากมายมารับประทานอาหาร มีร้านอาหารหลากหลายให้เลือก มีสตาร์บัคส์ใหญ่โต คนญี่ปุ่นวัยรุ่นจะอยู่ในนี้กันเยอะค่ะ ส่วนนักท่องเที่ยวก็อยู่กันตามร้านอาหารชื่อดังต่างๆ เมื่อเราเดินมาถึงหน้าร้าน เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ ค่ะ อากาศค่อนข้างเย็นแต่ไม่หนาวมากค่ะ ที่สำคัญคือเราหิวมากค่ะ

ปูอลาสก้าหน้าร้าน Kani Doraku

เมื่อเดินมาถึงร้าน ผู้คนหน้าร้านเยอะมากค่ะ ครั้งแรกที่มาเค้ายังไม่มีการขายของชำรวย หรือขาปูย่างหน้าร้านนะคะ น่าจะมีประมาณสัก 5-6 ปีที่แล้ว เพราะมาครั้งที่สองก็เริ่มมีขายของที่ระลึกแล้วค่ะ ตอนนี้ของที่ระลึกมีหลายอย่างมาก ก่อนหน้านี้มีแค่ที่รองตะเกียบรูปปูอย่างเดียวค่ะ (นานมากแล้วนะคะ) Knot เดินเข้าไปจองโต๊ะค่ะ พนักงานบอกว่า ได้คิวตอนสามทุ่มสี่สิบ ให้กลับมาประมาณสามทุ่มครั้ง เราก็โอเคถึงหิวก็จะรอ บัตรคิวเป็นสีเหลืองเขียนจำนวนคนและเวลาไว้ชัดเจนค่ะ หายอดเลยนะคะ ร้านเค้าปิด 5 ทุ่ม รับออเดอร์สุดท้าย 4 ทุ่มค่ะ

Bikkuri Takoyaki

ระหว่างรอ อีกอย่างที่ห้ามพลาดหากมาแถวนี้ ก็คือ Takoyaki ค่ะ ร้านนี้อร่อยมากมายค่ะ คิวยาวมาก ขนมร้านข้างๆ ก็อร่อยนะคะ แต่เราอยากกินของคาวมากกว่า เลยต่อคิวจัด Takoyaki ไซส์ M มา 1 กล่องค่ะ ของเค้าจะมีไซส์ M (6 ลูก) L (8 ลูก) และ XL (10 ลูก) สามารถเลือกไว้ว่าจะใส่ท็อปปิ้งอะไรบ้าง แต่เนื่องจากไม่สามารถพูดญี่ปุ่นได้ บอกได้แค่ไซส์ M แล้วน้องก็ถามอะไรมาก็ไม่ทราบ เห็นเราไม่ตอบ เธอก็เลยไปใส่ซอสทุกประเภท คือซอสทาโกะ มายองเนส แล้วก็ใส่หอมแห้งและโรยผักเต็มค่ะ คือครบเครื่องว่างั้นค่ะ

Bikkuri Takoyaki
Bikkuri Takoyaki

ขอบอกว่า Takoyaki กล่องนี้ร้อนมากค่ะ น้องคนขายให้ตะเกียบมา 1 คู่พร้อมให้เราเปิดทานได้เลยค่ะ คนญี่ปุ่นจะไม่เดินกินนะคะ เค้าจะยืนทางเป็นที่เป็นทางแล้วเอากล่อง/ภาชนะที่ใส่ไปทิ้งลงถังขยะของร้านที่ซื้อมา หรือไม่ก็ไปคืนให้คนขายซึ่งจะนำไปทิ้งให้ค่ะ Knot เลือกไซส์ M เพราะเรามากัน 2 คน และกินเพื่อรองท้อง ก่อนไปกินปูกันค่ะ

ตู้เลี้ยงปูยักษ์ที่หน้าร้านด้านใน

หลังจากกิน Takoyaki กันแล้ว เราก็ไปเดินเล่นที่ Shin Sai Bashi ซื้อของกันเล็กน้อย เพราะเป็นวันแรกเรายังมีเวลาอีกหลายวัน เนื่องจากบ้านเราอยู่แถวนี้เองค่ะ

Kani Doraku

สองทุ่มกว่าๆ เกือบสามทุ่ม เราก็เดินกลับมาที่ร้าน เพราะอากาศเริ่มหนาว กะว่ามานั่งรอที่ร้านก็ได้ค่ะ มาถึงเค้าเลิกแจกคิวแล้วนะคะ เรายื่นบัตรคิวให้พนักงาน เค้าก็ให้เรานั่งรอประมาณ 2-3 นาที ก็ได้โต๊ะเลยค่ะ เราก็เลยโชคดีได้กินเร็วกว่าที่คิดไว้ตั้งนาน แต่ก็ทำให้ทาโกะในท้องเรายังเต็มอยู่เลย เมื่อเราขึ้นไปนั่งที่โต๊ะ พนักงานก็นำผ้าเช็ดมือมาให้ พร้อมกับเมนู Knot เลือกสั่งเซ็ตเล็กที่สุด 5300 เยน ก็ประมาณ 2 พันบาทไทย ประกอบไปด้วยอาหารต่างๆ 8 จานรวมผลไม้ มีทั้ง ขาปูย่าง ขาปูนึ่ง ขาปูต้ม ซูชิปู กราแตงปู ไข่ตุ๋นปู เทมปุระปู มิโสะซุป ไปจนถึงผลไม้ ขอบอกว่าจุกมากมาย แต่เป็นมื้อแรกที่เลิศมากของทริปนี้ค่ะ

Video
Knot @ Kani Doraku
ขาปูนึ่ง
ไข่ตุ๋นปูหน้าเจลลี่ปูแปะก๊วย – คาวนิดนึง
ซาซิมิขาปู
กราแตงปู
เทมปุระปู
ซูชิปู – A La Cart

จานที่ชอบที่สุดเป็นซูชิปู จานที่ไม่ชอบที่สุดคือกราแตงปูค่ะ คือมันหนักชีสและค่อนข้างเลี่ยน เค้าเสิร์ฟให้เราทีละจานนะคะ เว้นให้เราได้ลิ้มรสอาหารในจานนั้นๆ อย่างละเมียดละไมกันเลยค่ะ

ใบเสร็จ

เมื่ออิ่มอร่อยกับมื้อเย็นแล้วเราก็เดินกลับที่พักค่ะ เดินผ่านร้านต่างๆ ใน Shinsaibashi ไปเรื่อยๆ เล็งว่าจะซื้ออะไรบ้าง แล้วก็คิดว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะทานอะไรกันดี แพลนกันว่าจะลองร้านกาแฟที่เดินผ่านตอนเดินมาจากโรงแรมค่ะ โพสต์ต่อไป Knot จะพาไปดูบรรยากาศการรับประทานอาหารเช้ากันค่ะ สำหรับทริปนี้ Knot ไปเที่ยวสั้นๆ กับคุณ Juth แห่ง Juth.net ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นฝีมือคุณ Juth นะคะ

หากชื่นชอบอย่าลืมติชม และติดตามกันได้ที่ www.tripsinmymemory.com หรือทาง Fan Page ที่ Facebook.com/tripsinmymemory ค่ะ