แผนของวันนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ เราตั้งใจว่าจะอยู่เที่ยวนารากันทั้งวัน เพราะเราสองคนชอบเมืองเก่าแห่งนี้เหมือนกันและมีสิ่งที่ต่างคนต่างอยากไปสนุกด้วยกัน ก็คือ การเลี้ยงกวางนั่นเอง อีกอย่างสำหรับ Knot ที่พลาดไม่ได้คือขนมโมจิสดไส้ถั่วแดง ร้านดังของเมืองนี้ ส่วนคุณ Juth ก็มีร้านทงคัตสึที่เคยมาทานและอร่อยมากมายที่อยากกลับไปกินอีกเป็นเป้าหมายของพวกเราในวันนี้

แต่ก่อนที่เราจะออกเดินทางไปนารา “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” เราสองคนมีร้านเป้าหมายในใจแล้ว นั่นก็คือ คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นใกล้ๆ โรงแรมที่เราเดินผ่านมาสองรอบแล้วนั่นเอง ร้านนี้ชื่อ Katachi ค่ะ เราออกจากโรงแรมประมาณ 9 โมงเช้า เพื่อหลีกเลี่ยงเวลา Peak Time ของรถไฟใต้ดินในเมืองโอซาก้าค่ะ

หน้าร้าน Katachi

Katachi Cafe

ร้านคาตาชิคาเฟ่ เป็นร้านกาแฟ ที่ของตกแต่งบ้านน่ารักๆ ขายด้วยค่ะ การตกแต่งของร้านเป็นแบบมินิมอล เรียบง่ายใช้สีหลักๆ อยู่สามสีคือ ขาว ดำ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทำให้ร้านดูอบอุ่นน่านั่งมากมายค่ะ เครื่องดริฟกาแฟน่าซื้อมากค่ะ เทียนรูปแมวและสุนัขก็น่าสนใจ แต่ราคาแอบสูงไปนิดและ Knot ก็กลัวจะแตกหากจะซื้อ เลยต้องตัดใจค่ะ ทานอาหารเช้ากันดีกว่า อาหารเช้าของเราวันนี้คือ Pizza Toast หน้าแฮม ข้าวโพด หอมใหญ่ และชีสค่ะ พนักงานขายประจำร้านเช้านี้เป็นผู้หญิงค่ะ น้องพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ คุณ Juth ก็พยายามสั่งเป็นภาษาญี่ปุ่น น้องตอบเราทุกคำถามเลยค่ะ ตั้งแต่ขอเมนู ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน เราต้องถามว่ามีอะไรแนะนำให้เราทานไหม น้องแนะนำว่า Toast Pizza ค่ะ แล้วก็พยายามบอกว่ามีหน้าอะไรบ้าง เราก็ตอบไปว่าขอเป็นหน้า แฮม ชีส นะคะ พร้อมสั่งชาเย็น (Iced) และกาแฟร้อน บทสนทนาทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยคุณ Juth เป็นล่ามค่ะ

บรรยากาศภายในร้าน เต็มไปด้วยของแต่งบ้านนานาประการ

มาดูภาพสิ่งที่เราได้กันค่ะ Toast Pizza ใส่ทุกอย่างตามภาพ และชาและกาแฟร้อนทั้งสองแก้วค่ะ ขำๆ (สั่ง iced ไอซึ ไปไม่ใช่หรือ) และที่ชอบที่สุดของร้านนี้คือ ขนมฝรั่งเศสที่หาทานได้ค่อนข้างยากในบ้านเรา ก้อนเล็กๆ สีเกือบดำ ที่ชื่อว่า Canele ที่กรุงเทพฯ มีขายที่ Paul และ Patissirie Rosie ค่ะ ขอบอกว่า Knot ชอบของร้านนี้มากกว่าของ Paul ค่ะ ขอบร้านนี้ ตอนเสิร์ฟ เค้าอุ่นร้อนมาให้แบบพอดีๆ ด้านนอกกรอบ ด้านในนุ่มค่ะ แบบต้องขอเบิ้ลสองชิ้นกันเลยค่ะ

อาหารเช้าของคุณ Juth – Toast Pizza และ ชาร้อน

กาแฟของร้านเค้าค่อนข้างจะจืดนิดนึงค่ะ เป็นกาแฟสดชนิดคั่วอ่อน กลิ่นไม่ค่อยหอมมาก รสชาติไม่ขม แต่ก็ไม่เปรี้ยวมากค่ะ หากใครเป็นคอกาแฟดริฟที่ชอบแบบคั่วอ่อน ถ้ามีโอกาสมาย่าน ShinSaiBashi แนะนำให้มาลองค่ะ แต่ถ้าชอบแบบรสเข้มๆ แนะนำร้านคุณลุง Key Coffee @ShinSaiBashi มากกว่าค่ะ สำหรับสาวๆ ที่ชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาดร้านนี้ค่ะ แสงดีเหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ ค่ะ

อาหารเช้าของ Knot – Toast Pizza และกาแฟร้อน
Canele

ออกเดินทางกันได้

อิ่มแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกันค่ะ ด้วยความที่เรามี JR West Pass Knot ก็ไม่คิดอะไรมากค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินไปสถานี Numba แล้วไปที่ JR Osaka เพื่อนั่งรถไฟสาย JR Yamatoji Line ไปนารากันค่ะ ไม่มีการเช็คตารางรถไฟล่วงหน้าแต่อย่างใด จริงๆ แล้วหากใครไม่มี JR Pass ก็จะมีอีกทางเลือกนึงก็คือ Kintetsu Nara Line นั่งประมาณ 40 นาทีจาก Numba Station ค่ะ เมื่อเราไปถึง JR Osaka Station ก็เห็น Belgiam Waffel ที่แสนจะน่ากิน ก็จัดมาหนึ่งอันแบ่งกันสองคนค่ะ (โชคดีที่พกเสบียงไปนะคะ) เป็นอีกอย่างที่แนะนำให้ลองทานกันค่ะ ขนมที่ญี่ปุ่นถือว่าถ้าเห็นคนญี่ปุ่นเข้าคิวซื้อกันเยอะ แสดงว่าร้านนั้นอร่อย ควรต้องลอง

ร้านวาฟเฟิลที่เราแวะซื้อก่อนขึ้นรถไฟ
วาฟเฟิลทริปเปิ้ลช็อคโกแล็ค

เรานั่งรถไฟระหว่างเมืองมาก็จะช้าๆ หน่อย และก่อนขึ้นเราก็อ่านป้ายแค่ว่า แพลตฟอร์มตรงกับที่คุณลุงนายสถานีบอกเรา และชื่อสายตรงกันไหม ไม่ได้อ่านว่ารถไฟขบวนที่เราจะไปนั่นจะไปถึงนาราหรือไม่ ถ้าไม่หลงก็ไม่ใช่ Knot สิคะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รถไฟขบวนนี้จะแยกไปที่อื่นค่ะ คือเค้าไปไม่ถึงนารา ให้เราเปลี่ยนรถที่สถานี Oji ตลอดทางที่เรานั่งรถไฟขบวนนี้มาพนักงานไม่ประกาศเป็นภาษาอังกฤษแต่อย่างใด พอใกล้จะถึงสถานีนี้เท่านั้นค่ะ ประกาศมาเป็นภาษาอังกฤษทันทีว่า รถไฟขบวนนี้จะไปที่ xxx ไม่ได้ไป Nara ผู้โดยสารที่ต้องการไปนาราให้ลงที่สถานีต่อไปเพื่อเปลี่ยนขบวนค่ะ เรียกว่าโชคดีของเราที่เค้าประกาศเป็นภาษาอังกฤษ คิดว่านักท่องเที่ยวคงจะขึ้นผิดขบวนกันเยอะเลยมีการประกาศเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย เราลงจากรถไฟเพื่อรอเปลี่ยนขบวน

นั่งรอรถไฟขบวนต่อไป

ระหว่างนั่งรอรถไฟ Knot ก็พยายามอ่านป้ายว่าขบวนไหนจะไป Nara จะมากี่โมง แล้วจากสถานีนี้จะไปถึงนารากี่โมง ปรากฎว่าอีกแค่ 3 สถานีเท่านั้นค่ะ แป๊บเดียวค่ะ เมื่อรถไฟมาเราก็ขึ้นรถไฟ

ในที่สุดก็ถึง Nara

เรามาถึง JR Nara Station ตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ เมื่อถึงสถานีรถไฟเมืองนารา ทุกคนก็จะเห็นเณรกวางน้อยรอต้อนรับแขกผู้มาเยือนทุกท่าน เราสองคนยังไม่หิวเพราะยังอิ่มวาฟเฟิลกันอยู่ เราก็เลยเดินออกจากสถานีเพื่อไปดูแผนที่ สถานที่ท่องเที่ยวของนารา จะอยู่ใกล้กันหมด เราสามารถเดินจากสถานีรถไฟ JR Nara ไปถึง Nara Park โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที วัด ศาลเจ้า และ Pagoda ต่างๆ ก็จะอยู่ใกล้บริเวณนั้นค่ะ หากไม่อยากเดินก็สามารถนั่งรถเมล์ได้ค่ะ ค่ารถเมล์ 230 Yen ตลอดสาย นั่งเบอร์ 1 ค่ะ เพื่อไป Nara Park หรือวัด Todaiji

ถ่ายรูปกับเณรกวางน้อย Mascot ประจำเมือง

Knot เลือกที่จะเดินเพราะเป้าหมายของ Knot ไม่สามารถนั่งรถเมล์ไปถึงได้ค่ะ ระหว่างทางก็มีแวะกินทาโกะยากิ ร้านนี้ตอน Knot มาครั้งที่แล้วยังไม่เปิดค่ะ ก็ซื้อแบบ Orginal ไซส์เล็กสุดค่ะ มีขิงดองใส่ถ้วยมาให้แกล้มด้วยค่ะ ความอร่อยสู้ของร้านที่เรากินที่ Dotonburi ไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่อร่อยนะคะ แต่เค้ามีให้เลือกหลายหน้ามากค่ะ หน้าอื่นอาจจะอร่อยก็ได้

Takoyaki ระหว่างทาง
ทาโกะยากิ

ถนนเส้นที่เราเดินกันเป็นถนนเส้นหลักของเมือง เดินตรงไปเรื่อยก็จะเห็นร้านที่มีคนมุงเยอะๆ ร้านนี้คือเป้าหมายหลักของ Knot ในการมาเที่ยวนาราครั้งนี้ นั่นคือ โมจิสดไส้ถั่วแดงค่ะ ชิ้นละ 130 เยนเท่านั้น ด้วยความที่อยากกินแต่คุณ Juth เค้าไม่เอาด้วย ก็เลยฝ่าเข้าไปซื้อมา 1 ชิ้น แค่กินให้หายอยากค่ะ ไม่สามารถนำกลับไทยได้เพราะเก็บได้ไม่เกิน 3 วัน และหากเอาเข้าตู้เย็นก็จะแข็ง และไม่อร่อย เคยลองแล้วค่ะ แนะนำว่าควรมาทานเองจะดีที่สุด

ร้านที่คิวยาวมากและขวางถนนสุดๆ
โมจิของโปรด

เลยร้านโมจิไปนิดเดียวก็จะถึงทางแยกเดินขึ้นไปจะเจอวัดและ Nara Park เดินลงไปจะเจออ่างเก็บน้ำค่ะ เราก็เดินขึ้นบันไดไปค่ะ จะเจอศาลเจ้าที่มี Three stories pagoda ค่ะ ศาลเจ้านี้จะมีคนมาขอพรกันเยอะค่ะ เราก็ทำการไหว้และขอพรท่านด้วยค่ะ วิธีการไหว้พระของคนญี่ปุ่น คือ จะต้องล้างมือ หน้า และปากก่อน โดยใช้กระบวยที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ตักล้างมือ แล้วใช้น้ำในมือล้างหน้าและบ้วนปากค่ะ จากนั้นก็ไปเข้าแถวไหว้พระ อธิษฐาน ปรบมือสองครั้ง โยนเหรียญทำบุญ (มีความเชื่อว่าควรใช้เหรียญ 50 เยนที่มีรูจะโชคดี) แล้วสั่นกระดิ่ง เพื่อให้พระได้ยินคำขอของเราค่ะ

ทางแยกขึ้นวัด
ทำความสะอาดก่อนไหว้พระ
คุณลุงเขียนคำอวยพร หรือดวงชะตา
Five Stories Pagoda
กวางน้อยขาเจ็บ

Feeding Deers

ไหว้พระขอพรแล้ว เราก็เดินไปตั้งใจว่าจะไปซื้อเซมเบ้ หรือ Deer Cracker เลี้ยงกวางค่ะ 150 เยนต่อแพ็คค่ะ จะมีซุ้มขายอาหารกวางอยู่ทั่วไปค่ะ Knot เดินเข้าไปซื้อเซมเบ้ ระหว่างทางที่จะเดินไปวัด Todaiji Nara Park เป็นหนึ่งในโบราณสถานของ Unesco ซึ่งมีกวางเดินอยู่โดยทั่วไป จะสังเกตว่า กวางเหล่านี้จะไม่เดินไปที่ซุ้มเพื่อขออาหารเลย แต่หากเราซื้อเซมเบ้แล้ว น้องกวางก็จะรี่เข้ามาหาทันที เรียกว่าแทบจะแกะกระดาษออกไม่ทันค่ะ และบางตัวก็เกเร เอาจมูกมาชนเราบ้าง หรือแย่งอาหารจากมือเราบ้างค่ะ

ซุ้มขายอาหารกวาง

แต่หากเราพูดกัยเค้า เค้าก็ฟังเราอยู่นะคะ ในรูป Knot เพิ่งซื้อเซนเบ้มายังไม่ได้แกะกระดาษที่รัดออกเลยค่ะ เค้าก็จะมาแย่งจากมือแล้ว Knot ก็เลยต้องดุและบอกเค้าว่ารอแป๊บนึงขอแกะกระดาษก่อน แล้วจะให้กินทั้งแพ็คนี้เลยค่ะ โชคดีที่น้องกวางตัวนี้เหมือนจะเข้าใจ ภาษาอังกฤษ ทำหน้าหงอ แล้วรอค่ะ ปกติกวางที่นี่เวลาจะขออาหารเค้าจะค้อมตัวลงให้เราค่ะ แล้วเราก็ค่อยๆ ยื่นอาหารให้เค้าทีละแผ่นค่ะ แต่เท่าที่สังเกตุจะมีบางคนที่แกล้งน้องกวางคือ หลอกให้เค้าค้อมตัวให้แล้วไม่ให้อาหารค่ะ หลายๆ ครั้งเข้า น้องกวางจะโมโหแล้วแย่งจากอาหารจากมือเราได้ค่ะ ตัวนี้น่ารักมากค่ะ พูดรู้เรื่อง (หรือเป่าไม่รู้) ค้อมตัวเสร็จ บอกให้รอก็รอค่ะ พอแกะเสร็จ Knot ก็ตั้งใจจะให้เค้าทั้งแพ็คนะคะ แต่พอแผ่นสุดท้าย มีกวางเกเรวิ่งมาชนก้นคุณ Juth แล้วแย่งแผ่นสุดท้ายไปค่ะ น้องตัวนี้ก็กลัวตัวที่วิ่งเข้ามาเดินถอยหลังหนีไปเลยค่ะ

Wait! I will take the paper off, then you will get the whole things.
Behave and Eat nicely
ซุ้มอาหารและกวางนารา

ระหว่างทางที่เราเดินไปวัน Todaiji ได้เห็นกวางตัวผู้สองตัวเอาเขา (กุด) มาชนกันตามรูปค่ะ เดาว่าเค้าน่าจะแย่งความเป็นจ่าฝูงกัน ที่สังเกตได้อีกอย่างก็คือ กวางตัวผู้ที่นี่จะถูกกุดเขาค่ะ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและผู้คนที่เดินไปมา

แย่งกันเป็นจ่าฝูง!

Todaiji Temple

ในฐานะนักท่องเที่ยว เราก็ต้องจ่ายเงินซื้อบัตรเข้าชมวัดค่ะ ผู้ใหญ่คนละ 600 เยนถ้าดูเฉพาะ Great Hall เท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการเข้าไปไหว้หลวงพ่อโตแล้วค่ะ ทางเดินเข้าวัดจะมี Gate ที่เราต้องเดินผ่าน ซึ่งมีรูปปั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้เฝ้าประตูอยู่ค่ะ

ซื้อบัตร
บัตรเข้าชมวัด จะมีข้อมูลโดยสังเขปบอกไว้
Juth
Knot
หลวงพ่อโต
พระโพธิสัตว์
บริจาคเงินเพื่อซื้อกระเบื้องหลังคาวัด
เครื่องรางประจำวัด

ที่หน้าวัดจะมีหลวงพ่อองค์ทำจากไม้อยู่หนึ่งองค์ ซึ่งคนญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่าหากได้มาขอพรจากท่านจะประสบความสำเร็จ และโชคดี ไพรีพินาศค่ะ

หลวงพ่อที่อยู่หน้าวัด
เครื่องปั๊มเหรียญที่ระลึก
ของฝากจากนาราสำหรับแฟนเพจ
กวางน้อยนอนพัก
ท้อญี่ปุ่น

Late Lunch

หลังจากเลี้ยงกวาง ไหว้พระเรียบร้อย Knot กับคุณ Juth ก็เริ่มหิว เดินออกมาจากวัด เห็นร้านขายลูกท้อสด ปอกและหั่นเรียบร้อยพร้อมทานก็จัดไป 1 แก้ว 300 เยนเท่านั้น ประมาณ 1-2 ลูกค่ะ หวานกรอบอร่อยมากค่ะ เราเริ่มมองหาร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวันกัน โดยที่ Knot ไม่รู้ว่าคุณ Juth เค้ามีร้านที่อยากไป ก็พากันเดินกลับทางที่มาเพราะมีร้านมากมายให้เลือกค่ะ แต่คนที่มีร้านในใจ ก็พยายามมองหาเส้นทางที่คุนเคย จนไปถึงตรอกเล็กๆ ทางเข้าตลาด ข้างร้านโมจิของเรานั่นเองค่ะ คุณ Juth ก็เดินเข้าไปเฉยเลยจนเจอร้าน Ichizoku

ร้านทงคัตสึในดวงใจของคุณ Juth

ในที่สุดก็ถึงจนได้ เราสั่งอาหาร คนพามาบอกว่า ทงคัตสึอร่อยมาก และสั่งปลาแซลมอนสะอย่างนั้น แต่อร่อยจริงๆ ค่ะ เป็นอีกร้านที่ขอแนะนำราคาไม่แพง เซ็ตละไม่ถึงพันเยนค่ะ มีครบตั้งแต่สลัด ผักดอง ชา ซุป และจานหลัก คนท้องถิ่น/คนญี่ปุ่นมาทานกันเยอะค่ะ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไรค่ะ เรียกว่าเป็นร้าน Local จริงแท้แน่นอนค่ะ

ข้าวหน้าแซลมอนย่างของคุณ Juth
Tonkutsu Set ของ Knot

มาญี่ปุ่นหลายคนคงไม่พลาด Soft Cream Ice Cream แต่เราคงจะเห็นเป็นรสชาเขียว ช็อคโกแล็ต วนิลา สตอเบอร์รี่ กันซะส่วนใหญ่ แต่ที่นารา เค้าจะมี Soft Cream รสงาดำให้เราได้ลองชิมกันค่ะ จำได้ว่าเคยพยายามหารสงาดำที่เมืองอื่นๆ ที่เคยไป ยังไม่เคยเจอเลยค่ะ ที่นี่ที่เดียวจริงๆ ค่ะ ของดีอีกอย่างของเมืองนี้ คือ สาเกค่ะ หากดื่มแอลกอฮอล์ก็สามารถซื้อหากันได้ค่ะ

Soft Cream งาดำ

หลังทานอาหารกลางวันตอนบ่ายสามกว่าๆ เราก็เดินซื้อของที่ระลึกกันในเมืองจนเย็น แล้วไปขึ้นรถไฟกลับไปโอซาก้าค่ะ ครั้งนี้เราฉลาดขึ้นมาหน่อย คือเรานั่งรถไฟ JR ไปลงสถานี JR Umeda แล้วต่อ Subway ไป ShinSaiBashi เพื่อเดินเล่น ช็อปปิ้งกันนิดหน่อย ได้เสื้อผ้า Uniqlo กระเป๋า Anello แล้วก็ไปหาข้าวเย็นและของหวานกินกันแถวนั้นค่ะ

Dinner @Douraku Licht

มื้อเย็นของเราวันนี้คือปิ้งย่างร้าน Douraku Licht เป็น Buffet นะคะ สั่งโดยการจิ้มที่จอได้เลย แล้วพนักงานก็จะเอาของมาเสิร์ฟที่โต๊ะค่ะ มื้อนี้ราคาไม่แพงมาก แต่เนื่องจากเราไม่กินเนื้อวัว เมนูที่เราสั่งได้จึงไม่เยอะค่ะ รสชาติก็ธรรมดาไม่อร่อยมาก สลัดเค็มมากค่ะ ถ้าคนชอบสาหร่ายอาจจะชอบค่ะ แต่เนื้อที่เอามาเสิร์ฟสดดีค่ะ

รายการอาหารและหน้าจอที่ใช้สั่งอาหาร
เบคอน
หมูหมัก
สลัดสาหร่ายไม่มีน้ำสลัด
ซุปสาหร่าย

Gram PreMium Pancake

ร้านนี้คือความเก็บกดของ Knot เนื่องจากอยู่เมืองไทยคิวยาวมาก มาญี่ปุ่นแล้วมีร้านอยู่ใกล้ๆ ไม่มีคิวก็เลยต้องลองค่ะ เราสั่งเป็น Tiramisu pancake กับชาร้อนค่ะ สองคน 1 จานค่ะ รสชาติที่เป็นอย่างที่คาดหวังค่ะ อาจจะเป็นเพราะคาดหวังสูงเกินไป เพราะชื่อเสียงที่ได้ยินมา หรือไม่ก็อิ่มเกินไปเพราะเรากินปิ้งย่างกันมาก็ได้ค่ะ แต่ชาร้อนที่พนักงานเสิร์ฟให้หอมและอร่อยดีค่ะ

Tiramisu Pancake
ชาร้อนหอมดีมาก
Knot @Gram

ส่งท้ายวันกันที่ของหวาน แล้วเราสองคนก็เดินกลับโรงแรม ระหว่างทางก็แวะซื้อของกันอีกนิดหน่อยจนร้านปิดค่ะ ร้านแถวนี้เริ่มปิดตอน สองทุ่ม ดึกที่สุดคือสี่ทุ่มค่ะ ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเป็นช่วงที่มืดเร็วมาก ห้าโมงเย็นฟ้าก็มืดสนิท การเดินทางท่องเที่ยวก็จะทำได้ยากเพราะมองอะไรไม่เห็นแล้ว ฟ้ามืดปุ๊บก็ถึงเวลากินและช้อปปิ้งทันทีค่ะ

Knot ก็ขอจบโพสต์นี้ลงที่ตรงนี้นะคะ โพสต์ต่อไปจะเป็นการเที่ยวในโอซาก้าค่ะ โดยมีไกด์ท้องถิ่นกิตติมศักดิ์เพื่อนคุณ Juth มาพาเราเที่ยวกันค่ะ หากชอบโพสต์ของ Knot อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม Facebook Page และ IG ได้ที่ @TripsinMyMemory เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ